ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM ข้อแรกเลย คือ SEO มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าชมผ่านผลการค้นหาทั่วไป ในขณะที่ SEM ใช้เงินซื้อโฆษณาเพื่อให้ปรากฏใน SERP ต้นทุน SEO จะต่ำกว่า และก็ยั่งยืนกว่า แถมยังให้ CTR ที่มีคุณภาพสูงกว่าด้วย ส่วน SEM จะให้ผลเร็วกว่า มีรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผลการค้นหา และช่วยให้กำหนดเป้าหมายได้มากขึ้น
Search Engine ที่เป็นเหมือนห้องสมุดดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังดึงดูดผู้เยี่ยมชมมากขึ้นทุกวัน และธุรกิจต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งพาพวกเขา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลายแบรนด์จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการออกแคมเปญการตลาดผ่านการค้นหาเพื่อปรับปรุงการเข้าชมเว็บไซต์ของพวกเขา ความพยายามทางการตลาดผ่านการค้นหามีอยู่ 2 ประเภท และการเลือกใช้ประเภทที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความสำเร็จของแคมเปญ ดังนั้นการรู้เรื่อง SEO vs SEM จึงเป็นขั้นตอนสำคัญของการตลาดดิจิทัลเช่นกัน
เราได้ไปรวบรวมข้อมูลการตลาดดิจิทัลมา พบว่าการปรากฏบนหน้าแรกของผลการค้นหาของ Google ทำให้มีการเข้าชมมากกว่าหน้าอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน นั่นเป็นเหตุผลที่บริษัทต่าง ๆ ยืนกรานที่จะนำแบรนด์ของตนไปไว้ในหน้าแรกของ SERP และการใช้ SEO กับ SEM คีย์หลักที่จะใชทำให้เป้าหมายสำเร้จได้จริง
Table of Contents
Toggleบทความนี้เรามาพูดถึงความหมายของคำว่า SEO และ SEM และสิ่งที่ทั้งสองทำ นอกจากนี้ เรายังจะตรวจสอบวิธีการเชื่อมต่อระหว่างกัน รวมถึงความแตกต่างของทั้งสองสิ่งด้วย เพื่อให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกคนเข้าใจ และใช้เป็นแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้ SEO และ SEM ไม่ว่าคุณจะเพิ่มเริ่มต้นและเชี่ยวชาญมาก ๆ ก็ตาม
Google เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก โดยมีการค้นหาเฉลี่ย 3.5 พันล้านครั้งต่อวัน แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า Search Engine ตัวนี้มีประโยชน์ในแง่ของการตลาดมากขนาดไหน และในความเป็นจริง แม้แต่ Search Engine ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เช่น Bing และ Wiki.com ก็ยังถือว่าคุ้มค่าที่จะพิจารณา เพราะผู้ใช้รายวันก็มีจำนวนมากเช่นกัน
ทั้งนี้แล้ว ในขณะที่อินเทอร์เน็ตทำให้โลกเล็กลง แต่พื้นที่ดิจิทัลนี้ก็ยังไม่เล็กพอที่ทำให้ลูกค้ามาบังเอิญเจอธุรกิจของคุณผ่านทางออนไลน์ เพราะมีเว็บไซต์มากกว่า 1.7 พันล้านเว็บไซต์ทั่วโลก จากข้อมูลในเดือนตุลาคม 2019 ของ Internet Live Stats และด้วยตัวเลือกมากมายนี้ นักการตลาดดิจิทัลจึงต้องดึงการเข้าชมมายังเว็บไซต์ของตนอย่างจริงจังก่อนที่คนอื่นจะแย่งไปก่อน และนั่นคือที่มาของ SEO และ SEM
Search Engine คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในโลกออนไลน์ และ Google เองก็ถือเป็นเครื่องมือ Search Engine ที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นข้อพิสูจน์ถึงจำนวนผู้ที่ใช้บริการของ Search Engine อยู่ในทุกวันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นักการตลาดมักนิยมใช้ Search Engine เป็นพื้นที่ในการดึงดูดลูกค้า
SEO และ SEM เป็นสองวิธีหลักที่นักการตลาดใช้ เพื่อให้แบรนด์ตัวเองปรากฏใน SERP ไม่ว่าเลือกจะใช้แบบใด คุณก็ควรปรับกลยุทธ์ของคุณให้เหมาะสมด้วย เพื่อสร้างยอดเข้าชมทั้งแบบออร์แกนิกและการค้นหาจาก PPC ได้จริง แต่ก่อนอื่น เราต้องมานิยามความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM กันก่อน
SEO คือการรวบรวมเทคนิคและแนวทางปฏิบัติที่มุ่งนำเว็บไซต์ไปสู่แถวหน้าของ SERP หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์เพื่อให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ได้เร็วขึ้นในหน้าผลการค้นหา ยิ่งแคมเปญ SEO ของแบรนด์ประสบความสำเร็จมากเท่าใด ตำแหน่งของแบรนด์ก็จะยิ่งสูงขึ้นในผลการค้นหาทั่วไป นั่นเป็นเหตุผลที่ธุรกิจจำนวนมากใช้บริการเพิ่มประสิทธิภาพ Search Engine เพื่อให้บรรลุความพยายามนี้
Search Engine มักจะพิจารณาปัจจัยหลายร้อยอย่างเพื่อกำหนดอันดับของเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่ายังมีกลยุทธ์อีกหลายร้อยวิธีที่นักการตลาดใช้เพื่อให้ได้อันดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับ SEO สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ off-page, on-page และ Technical SEO:
SEM เป็นระบบการตลาดที่ใช้โฆษณาแบบชำระเงินเพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บน SERP โดยพื้นฐานแล้ว แบรนด์จะซื้อโฆษณาเพื่อให้ Search Engine แสดงเว็บไซต์ของตนที่ด้านบนสุดของผลการค้นหา การตลาดประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) โฆษณาแบบชำระเงิน และโฆษณาบนการค้นหาแบบเสียค่าใช้จ่าย
SEM มีหลายรูปแบบเช่นกัน มีตั้งแต่การโฆษณาแบบข้อความที่แสดงข้อมูลทั้งหมด ตั้งแต่ เนื้อหา ข้อมูลติดต่อ ลิงก์ ฯลฯ – ผ่านข้อความที่คิดมาแล้วอย่างดี หรือจะเป็นโฆษณาตามลิสต์ผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักในชื่อโฆษณา Shopping สามารถแสดงภาพได้มากกว่า อาจรวมถึงรูปภาพของผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ราคาและคำอธิบายของผลิตภัณฑ์
ระบบ SEM ไม่ใช่แค่การวางโฆษณาบน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ แต่จะครอบคลุมทั้งแคมเปญตั้งแต่ การตั้งงบประมาณ การวิจัยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น คีย์เวิร์ดและกลุ่มประชากร การเสนอราคา และการปรับใช้ อีกส่วนที่สำคัญของ SEM คือการติดตามความสำเร็จของแคมเปญเพื่อปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน ถือเป็นการใช้เครื่องมือการตลาดผ่านการค้นหาที่เชื่อถือได้อย่างมาก
แม้ว่า SEO และ SEM จะไม่ใช่คำที่สามารถใช้แทนกันได้ แต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือ เพิ่มการเข้าชมให้เว็บไซต์ แต่ละแบบก็จะมีมีวิธีตามฉบับของตัวเองในการทำให้แบรนด์ปรากฏในตำแหน่งหลักเมื่อทำการค้นหาผ่าน Search Engine ทั้งคู่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) เพื่อให้ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น
นอกจากวัตถุประสงค์แล้ว ระหว่าง SEO และ SEM ยังมีความเหมือนกันอยู่อีก ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งคือการใช้คีย์เวิร์ดเพื่อกำหนดเป้าหมายการค้นหาของผู้ใช้ เพื่อให้แคมเปญ SEO และ SEM ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จักผู้ชมของคุณก่อน เนื่องจากการค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการคือกุญแจสำคัญในการกำหนดว่าพวกเขาจะค้นหาคำใด เนื้อหาของเว็บไซต์สามารถปรับแต่งตามคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ SEO และ SEM มีเหมือนกันก็คือ ทั้งคู่ต้องการการตรวจสอบและการเพิ่มประสิทธิภาพ คุณไม่สามารถที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วคาดหวังให้พวกเขาทำงานด้วยตัวเองได้ ต้องตรวจสอบประสิทธิภาพทั้งสองเพื่อดูว่าวิถีการขับเคลื่อนของการเข้าชมว่าทำได้ดีแค่ไหน แต่หากวัดจากตรงนี้ SEO จะให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่ามาก แต่ทั้งสองรูปแบบก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่ต้องพึ่งพาการใช้คีย์เวิร์ดเหมือน มาเช็กให้เคลียร์กันกว่าว่าทั้ง SEO และ SEM เหมือนกันตรงจุดไหนบ้าง:
SEO และ SEM ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของธุรกิจในปัจจุบัน ประชากรกว่าครึ่งโลกออนไลน์ ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นตลาดสำคัญที่ต้องพิจารณา ไม่มีทางที่บริษัทต่าง ๆ จะปล่อยให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ผ่านไป SEO และ SEM จึงกลายเป็นการตลาดแนวหน้า สามารถเข้ามา ปรึกษาการทำ SEO กับเราได้ที่ บริษัทดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ เมื่อใช้งานอย่างถูกวิธี แน่นอนว่ามันนี้จะช่วยให้คุณได้รับผลประโยชน์มากมาย ซึ่งเราจะพูดถึงด้านล่างนี้
แคมเปญการตลาดบนเว็บที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งยอดการเข้าชมของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้นตามด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบชำระเงินหรือแบบออร์แกนิก ผู้บริโภคมักจะเลือกเว็บไซต์ในหน้าแรกของ SERP อยู่แล้ว สิ่งนี้ทำให้แบรนด์มีโอกาสมากขึ้นในการแสดงผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเอง เพราะว่าผู้คนจะเห็นผลิตภัณฑ์และบริการเหล่านี้มากขึ้น
ข้อดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ SEO และ SEM คือช่วยให้ Search Engine สามารถค้นหาเว็บไซต์โดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม นั่นเป็นเพราะ Search Engine ใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่แสดงนั้นเกี่ยวข้องกับที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ นี่เป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจของคุณ เนื่องจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณจำนวนมากมีความตั้งใจที่จะซื้อ ดังนั้น จำนวนคลิกที่เพิ่มขึ้นก็จะหมายถึงลูกค้าจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย
ไม่สำคัญว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณจะดีแค่ไหนหากคุณไม่เป็นที่รู้จักของผู้ชม SEO และ SEM สามารถช่วยให้ธุรกิจได้รับการยอมรับตามที่สมควรจะได้รับ ไม่จำเป็นต้องเป็นการเข้าชม แค่ปรากฏในหน้าค้นหาก็มีประโยชน์ในตัวมันเองแล้ว เมื่อแบรนด์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมากจะรับรู้ว่าคุณมีอยู่จริง สิ่งที่ตามมาคือผู้ใช้งานต่าง ๆ ก็จะรับรู้ถึงให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ และพร้อมจ่ายเงินซื้อได้
มาึถึงตรงนี้ ก็ได้เวลาของหารือแล้วว่า SEO และ SEM แบบไหนดีกว่าและสรุปแล้ว SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร? มีกลยุทธ์ทางการตลาดแบบไหนที่เหมาะกับทุกคนหรือไม่? ทั้งสองแบบแตกต่างกันในทุกด้านหรือเปล่า? มาลองดูการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM กันอย่างละเอียดไปเลยดีกว่า…
SEM เป็นการจ่ายต่อคลิก ตั้งนั้นคุณต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่มีผู้ใช้คลิกที่ผลการค้นหา ต้นทุนเริ่มต้นอาจมองไม่เห็น แต่ต้นทุนทบต้นเมื่อเวลาผ่านไปจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ จำนวนการเสนอราคาสำหรับโฆษณายังเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดอันดับของหน้าด้วย หมายความว่าคุณอาจต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ
ในทางกลับกัน การทำ SEO นั้น แม้ว่าจะไม่ฟรี แต่ก็ไม่ได้แพงเท่า SEM เป็นความจริงที่คุณจะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งกับแคมเปญ SEO ที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่ดีในการลงทุนใน SEO อยู่มากมาย เพราะมันช่วยเพิ่มชื่อเสียง ทำกำไร สร้างมูลค่าให้แบรนด์ และอื่น ๆ อีกมาก ทำให้ราคาที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่า นอกจากนี้ เมื่อแคมเปญประสบความสำเร็จ คุณจะใช้เงินและความพยายามน้อยลงในการรักษาตำแหน่งอีกด้วย
SEM สามารถทำบางสิ่งที่ SEO ได้แค่ฝันถึงเท่านั้น นั่นคือเมื่อเริ่มยิงเว็บไซต์ไป จะติดอันดับสูงสุดในชั่วข้ามคืน นั่นเป็นเพราะทันทีที่โฆษณาได้รับการชำระและใช้งาน โฆษณานั้นจะเริ่มปรากฏบน SERP ทันทีนอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเพื่อให้อันดับสูงขึ้นตามที่ต้องการ
ส่วน SEO นั้นค่อนข้างช้า แต่มั่นคงและยั่งยืนกว่า โดยทั่วไปจะใช้เวลาสองสามเดือนกว่าที่ผลลัพธ์จะเริ่มปรากฏขึ้น และภายในเดือนนั้น การใช้กลยุทธ์ SEO ที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
ด้วยเงินที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการแสดงโฆษณาแบบจ่ายเงินบนผลการค้นหา แต่ผู้ใช้มักจะเชื่อถือผลการค้นหาแบบออร์แกนิกมากกว่า หมายความว่ามี CTR ที่ได้จากผลการค้นหาทั่วไปจะมากและมีคุณภาพกว่า และรวมถึง CTR เหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความตั้งใจซื้อด้วย
ผลลัพธ์ออร์แกนิกที่อยู่ในอันดับต้น ๆ จะมี CTR คุณภาพสูงสุด แต่การขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สิ่งนี้ทำให้ความพยายามทั้งหมดนั้นคุ้มค่า ผู้คนเลือกเชื่อถือ Search Engine อย่าง Google และยังมั่นใจในเว็บไซต์อันดันต้น ๆ ที่พวกเขาเห็น เพราะว่ากันตามตรงใครก็ต่างชอบผลการค้นหาทั่วไปที่ปรากฏในหน้าแรก มากกว่าที่เลือกผลการค้นหาที่มี Ad ติดมาด้วย
SEM ให้ตัวเลือกในการเพิ่มคุณลักษณะพิเศษเพื่อให้ปรากฏในผลการค้นหา รวมทั้งการโทร ลิงก์เว็บไซต์ และส่วนขยายโฆษณาอื่น ๆ นอกจากนี้ ลิสต์ผลิตภัณฑ์อาจดีกว่ามากในแคมเปญแบบชำระเงิน นั่นเป็นเพราะ Search Engine อย่าง Google อนุญาตให้ใช้รูปภาพสำหรับโฆษณา PPC ได้ ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามารถใส่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น ราคา บทวิจารณ์ ส่วนลด ฯลฯ นี่เป็นช่องทางที่ดีสำหรับการเพิ่ม CTR เลยทีเดียว
ส่วนผลการค้นหาใน SEO จะแสดงเป็นข้อความธรรมดา ๆ ดังนั้นนักการตลาด SEO จึงต้องพึ่งพา Title tag และ Meta Description เป็นหลักเพื่อดึงดูดการคลิกเข้ามา อย่างไรก็ตาม Google ใจดี มี Feature Snippets ต่าง ๆ สำหรับเว็บไซต์คุณภาพที่ตอบคำถามของผู้ใช้ได้กระชับและจัดระเบียบอย่างดี แม้ว่าจะยังคงอยู่ในรูปแบบของข้อความธรรมดาก็ตาม
ในขณะที่ SEM ช่วยให้คุณไปถึงจุดสูงสุดได้ คุณจะอยู่ที่นั่นตราบเท่าที่คุณสามารถจ่ายได้ หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา แคมเปญประเภทนี้ก็เหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังทำงานโดยใช้งบประมาณการตลาดที่จำกัด คุณอาจต้องพิจารณาใหม่ ท้ายที่สุด เมื่อคุณหยุดจ่าย คุณจะหยุดแสดงในผล SERP ทันที
แต่สำหรับหารทำ SEO เมื่อเว็บไซต์ของคุณไปถึงอันดับที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้ความพยายามอีกสักเล็กน้อยเพื่อรักษาอันดันนั้นไว้นาน ๆ ต้องขอบคุณผลทบต้นที่เพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของคุณขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่คุณยังคงทำการเพิ่มประสิทธิภาพต่อเนื่องอยู่แบบนั้น คุณก็จะรักษาอันดับของคุณไว้ได้ ทั้งนี้แล้วข้อเสียประการหนึ่งของการเป็นน้องใหม่กับอุตสาหกรรมนี้ คือเว็บไซต์เที่ครองตำแหน่งสูงสุดดูเหมือนจะร่วงยากมาก ดังนั้นหากคุณอยากแซงหน้าคู่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ คุณจะต้องพยายามอย่างหนักและวางแผนกลยุทะ์ SEO ให้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
SEM มักจะให้ตัวเลือกเพื่อให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณได้รับการกำหนดเป้าหมายแบบเล็งตรงไปยังผู้ชมที่ตรงกลุ่ม มีตัวกรองที่ให้คุณเลือกได้ว่าต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏแก่ใครบ้าง ตัวกรองประกอบด้วยตำแหน่ง อายุ อุปกรณ์ที่ใช้ ภาษา และอื่น ๆ นี่เป็นสิ่งจำเป็นในการทำ SEM เนื่องจากการคลิกแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นคุณต้องได้การคลิกที่มีโอกาสเกิด Conversion สูงที่สุดเท่านั้น
SEO ประกอบด้วยกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมที่เหมาะสมจะโต้ตอบกับเว็บไซต์ ผู้ใช้เป้าหมายสามารถมองเห็นได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการทำ SEO ไม่มีระดับการควบคุมเหมือนที่ SEM มี ดังนั้นจึงมีผู้ชมที่ค่อนข้างกว้าง สิ่งนี้อาจฟังดูดี แต่จริง ๆ แล้วมีส่วนทำให้ถูกฝังอยู่ใต้ผลการค้นหาทั่วไปอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งที่คุณต้องการดึงดูดผู้เข้าชมที่เหมาะสมมากกว่า
SEM ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แคมเปญทำงานต่อไป ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับนั้นจะอยู่ตราบเท่าที่คุณป้อนเงินให้กับ Search Engine ด้วยเหตุนี้ ต้นทุนต่อลูกค้าเป้าหมายของการทำโฆษณาที่เสียเงินจึงสูงกว่าการทำ SEO มาก
SEO มีโอกาสที่ดีกว่าในการสร้าง ROI ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ SEM ตราบใดที่ได้รับการปรับให้เหมาะสม แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ก็ถูกกว่าเยอะ ดังนั้นคุณจะมีความเสี่ยงน้อยลงเมื่อปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยแคมเปญ SEO นอกจากนี้ เนื่องจากต้นทุนต่อโอกาสในการขายต่ำกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนจึงสูงขึ้น
SEM ให้การควบคุมลักษณะส่วนใหญ่ของโฆษณามากกว่า ดังนั้นแคมเปญสามารถจึงปรับแต่งได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น หมายความว่าคุณสามารถปรับแต่งข้อความของคุณให้เหมาะกับประสบการณ์การใช้งานที่เข้ากับพื้นที่หรือเหมาะกับบุคคลมากขึ้น คุณยังสามารถใส่รูปภาพและองค์ประกอบที่น่าสนใจและมีประโยชน์อื่น ๆ ได้อีกด้วย งบประมาณยังอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการตลาด สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาใช้เงินมากขึ้นในแคมเปญที่ประสบความสำเร็จและตัดขาดจากแคมเปญที่ไม่ประสบความสำเร็จ และเนื่องจากแทบจะควบคุมทุกแง่มุมของโฆษณาได้ SEM จึงเหมาะสำหรับการทดสอบว่าโฆษณาใดจะใช้ได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผลมากกว่า
ในทางกลับกัน ความสามารถในการควบคุมของ SEO อาจจะยากกว่า SEM อย่างเรื่องแรกเลยคือ รูปแบบที่ใช้แสดงข้อความนั้นจะต้องสอดคล้องกัน ดังนั้นจึงจำกัดเฉพาะใน Search Engine เท่านั้น นักการตลาดด้าน SEO ยังจำกัดการแสดงข้อความที่ต้องอ้างจากผลการค้นหาเท่านั้นด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ผลลัพธ์จะแสดงผลอย่างเต้มรูปแบบ การทำ SEO จึงไม่เหมาะสำหรับการทดสอบ
คำถามหนึ่งข้อที่ค้างคาใจคือ สรุปแล้ว SEO หรือ SEM แบบไหนดีกว่ากันสำหรับธุรกิจของคุณ คำตอบอยู่ที่ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM โดยคุณต้องคำนึงถึงงบประมาณ ความต้องการทางธุรกิจ และอื่นๆ ประกอบกัน ดูว่าข้อดีข้อเสียของทั้งแบบ แล้วเลือกว่าคุ้มค่าและความเสียเปรียบแบบไหนจะเหมาะกับการตลาดของแบรนด์คุณที่สุด
คุณมีงบประมาณหรือไม่? ถ้ามีก็อาจจะพิจารณา SEM มาช่วยในสร้างแบรนด์ หรืออยากได้จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ต่อเดือน? ก็ให้เลือกเป็น SEO แทน หรือยังน้องใหม่ ไม่แน่ใจจะเลือกแบบไหนดี? SEM อาจช่วยให้คุณเริ่มต้นการจดจำแบรนด์ของคุณได้ หรือถ้าคุณมีคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่คุณใช้ไม่ได้แล้วมีการแข่งขันสูง ลองมาพยายามครอบงำคีย์เวิร์ดเหล่านี้ด้วย SEO ดู….
ดังที่เห็นในการเปรียบเทียบด้านบน อย่างไรก็ตาม SEO และ SEM ดูเหมือนจะเสริมซึ่งกันและกัน SEO ขาดอะไร SEM หยิบขึ้นมาช่วยเสริมได้ ซึ่งหมายความว่าหากคุณมีงบประมาณเพียงพอ SEM และ SEO เป็นวิธีที่เหมาะที่สุด
ใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แยกจากกัน เพราะในความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอาจมาถึงผู้ที่ผสมผสานระหว่าง SEM กับ SEO ออกมาเป็นแคมเปญทางการที่ครอบคลุมทุกรอยรั่ว
Performance Marketing