Search engines ทำงานโดยการรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บจำนวนหลายพันล้านหน้าด้วยโปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บ (web crawler) หรืออาจคุ้นกันในชื่อ spiders หรือ บอท ที่จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล สำรวจเว็บและไปตามลิงก์เพื่อค้นหาหน้าใหม่ ๆ หน้าเหล่านี้จะถูกเพิ่มลงในดัชนีที่ search engines จะดึงผลลัพธ์มา
การทำความเข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องมือค้นหาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO การปรับให้เหมาะสมอาจทำได้ยาก แต่คุณจะรู้แนวการทำงานของมันก็จะช่วยให้ง่ายขึ้นเยอะเลย แต่สำหรับธุรกิจไหนที่ต้องการทำเว็บของธุรกิจให้เรื่องรับการ Search Engine จะต้องทำ SEO ด้วย แต่หากไม่มีเวลา สามารถเข้ามาใช้บริการ Digital Marketing Agency ที่นี่ได้เลยที่ให้บริการโฆษณาออนไลน์แบบครบวงจร รับทำ SEO การันตีผลจริง
มาทำความรู้การทำงานของ search engines เหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลย…
Table of Contents
Toggleก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า search engines คืออะไร?? มีไว้ทำไม?? และหาเงินได้ยังไง??
Search engines คือ ฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ของเนื้อหาเว็บ ประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก ดังนี้
Search engines ทุกตัวมีหน้าที่หลักคือ มอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและมีความเกี่ยวข้องมากที่สุดให้แก่ผู้ใช้งาน และรับส่วนแบ่งทางการตลาดจากตรงนี้ไป
Search engines มีผลการค้นหาสองประเภท คือ:
ทุกครั้งที่มีคนคลิกผลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินให้กับ Search engines สิ่งนี้เรียกว่าการโฆษณา pay-per-click (PPC) และเป็นเหตุผลว่าทำไมส่วนแบ่งการตลาดจึงมีความสำคัญ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้งานคลิกโฆษณามากขึ้นและรายได้ที่ได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ไม่ว่าจะยังไง ทุกอย่างเริ่มที่ Urls เสมอ และ Google เองก็มีวิธีค้นเจอเยอะมาก แต่ที่นิยมสุดจะมีอยู่ 3 วิธี ดังนี้
การเก็บข้อมูล (Crawling) คือ การที่บอทคอมพิวเตอร์ที่เรามักกันเรียกว่า “Spider” เข้าไปเยี่ยมชมและดาวน์โหลด URL นั้น โปรแกรมเก็บข้อมูลของ Google คือ Googlebot
การประมวลผลคือที่ที่ Google ทำงานเพื่อทำความเข้าใจและแยกข้อมูลสำคัญออกจากหน้าที่เก็บข้อมูล แต่ถ้าทำขั้นตอนนี้ ก็ต้องเรนเดอร์หน้าเพจที่ใช้รันโค้ดของหน้านั้นด้วย เพื่อดูว่าหน้าเพจจะออกมาเป็นเช่นไรในมุมมองของผู้ใช้งาน
นอกจาก Google แล้วก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนนี้เลย แต่มันก็ไม่ได้สำคัญมาก ที่เราต้องให้ความสำคัญจริง ๆ คือ สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับการแยกลิงก์และจัดเก็บเนื้อหาสำหรับการจัดทำดัชนี
การจัดทำดัชนี (Indexing) เป็นการเพิ่มข้อมูลที่ประมวลผลจากหน้าที่เก็บข้อมูลไปยังดัชนีการค้นหา
ดัชนีการค้นหา คือ สิ่งที่คุณค้นหาเมื่อใช้งาน search engine เป็นเหตุผลว่าทำไมการจัดทำดัชนีใน search engine อย่าง Google และ Bing จึงมีความสำคัญ ผู้ใช้จะไม่มีทางพบคุณจนกว่าคุณจะอยู่ในดัชนี
รู้หรือไม่?
Google ครองกว่า 91.43% การตลาด search engine มันสามารถให้ยอดผู้เข้าชมได้มากกว่าเจ้าอื่น ๆ เพราะอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า Google คือ search engine อันดับ 1 ที่คนใช้มากที่สุด
อัลกอริทึมการค้นหา หรือ Search algorithms คือสูตรการจับคู่และจัดอันดับผลลัพธ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลดัชนี มีหลายปัจจัยมากที่ Google ใช้ในอัลกอริทึมนี้
ไม่มีใครรู้เลยว่าปัจจัยที่แท้จริงคืออะไร เพราะ Google ปิดไว้เป็นความลับ แต่ก็มีปัจจัยบางตัวที่มีความเป็นไปได้สูงมาก ดังนี้
Backlinks คือ ลิงก์จากเว็บหนึ่งไปยังอีกเว็บหนึ่ง เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ ๆ ของ Google ในการช่วยจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของการลิงก์ระหว่างโดเมนกับการเข้าชมแบบออร์แกนิค
แต่ต้องบอกก่อนว่าจำนวนไม่สำคัญเท่าคุณภาพ หน้าเพจของเราได้ Backlink คุณภาพสูงเพียงไม่กี่ลิงก์ อาจส่งผลดีกว่าการได้ Backlink จำนวนมหาศาลจากเว็บคุณภาพต่ำ
ความเกี่ยวข้อง (Relevance) คือผลประโยชน์ของผู้ค้นหา Google มีหลากหลายวิธีในการกำหนดสิ่งนี้ แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันจะมองหาหน้าเพจที่มีคีย์เวิร์ดสำคัญ ที่ผู้ค้นหาใช้เสิร์ชกันบ่อย ๆ และยังดูข้อมูลการโต้ตอบอีกด้วย เพื่อดูว่าผู้ค้นหาได้ประโยชน์จากผลลัพธ์นั้นหรือไม่
ความสดใหม่ (Freshness) คือปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ผลการค้นหาจะดีขึ้นหลายเท่า หากมันมีความสดใหม่ อัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเราถึงเห็นผลลัพธ์อันดับต้น ๆ เป็นเพจ “ซีรีส์ netflix ใหม่” ไม่ใช่ “วิธีแก้ปัญหาลูกบาศก์ของรูบิค”
ความเร็วของหน้าเว็บไซต์ (Page speed) คือปัจจัยในการจัดอันดับทั้งต่อเดกส์ท็อปและมือถือ เท่าที่พบมาส่วนใหญ่จะส่งผลเสียร้ายแรงมากต่อหน้าเว็บที่โหลดช้า มากกว่าที่จะส่งผลดีต่อหน้าเว็บที่โหลดเร็วด้วยซ้ำ ดังนั้นใครอยากได้แรงก์ดี ๆ แนะนำว่าอย่าปล่อยให้หน้าเว็บโหลดข้าจะดีที่สุด
Mobile-friendliness เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว ซึ่งก็รวมทั้งการแสดงผลทั้งแบบเดกส์ท็อปและมือถือ
Google จะปรับแต่งผลการค้นหาสำหรับผู้ใช้แต่ละคน โดยใช้ข้อมูลเช่น ตำแหน่ง ภาษา และประวัติการค้นหาในการดำเนินการ ลองมาดูสิ่งเหล่านี้แบบลงลึกกัน…
Google ใช้ตำแหน่งเพื่อปรับแต่งผลการค้นหาตาม local Search Intent นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเวลาคุณค้นหา “ร้านอาหารอิตาเลียน” มันจึงปรากฎแต่ร้านอาหารใกล้ ๆ คุณ เพราะ Google รู้ว่าคุณไม่น่าจะบินไปครึ่งโลกเพื่อทานอาหารกลางวัน
Google รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ในการแสดงผลลัพธ์ภาษาอังกฤษให้ผู้ใช้ชาวสเปน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงจัดอันดับเนื้อหาตามเวอร์ชันภาษาที่เว็บนั้น ๆ มี ให้ตรงกับภาษาที่ผู้ใช้งานใช้ (เว็บไหนมีหลายภาษาคือได้เปรียบ)
Google จะบันทึกสิ่งที่คุณทำและสถานที่ที่คุณไปเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การค้นหาที่เป็นส่วนตัวมากที่สุด คุณสามารถเลือกปิดตัวเลือกนี้ได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะเปิดไว้
บริษัท Digital Marketing Agency ที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อมให้บริการธุรกิจของคุณด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้แบรนด์ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จกับแคมเปญการตลาดออนไลน์