SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรามากกว่ากัน?

asiasearch
June 24, 2023

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM ข้อแรกเลย คือ SEO มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าชมผ่านผลการค้นหาทั่วไป ในขณะที่ SEM ใช้เงินซื้อโฆษณาเพื่อให้ปรากฏใน SERP ต้นทุน SEO จะต่ำกว่า และก็ยั่งยืนกว่า แถมยังให้ CTR ที่มีคุณภาพสูงกว่าด้วย ส่วน SEM จะให้ผลเร็วกว่า มีรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผลการค้นหา และช่วยให้กำหนดเป้าหมายได้มากขึ้น

Search Engine ที่เป็นเหมือนห้องสมุดดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังดึงดูดผู้เยี่ยมชมมากขึ้นทุกวัน และธุรกิจต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งพาพวกเขา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลายแบรนด์จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการออกแคมเปญการตลาดผ่านการค้นหาเพื่อปรับปรุงการเข้าชมเว็บไซต์ของพวกเขา ความพยายามทางการตลาดผ่านการค้นหามีอยู่ 2 ประเภท และการเลือกใช้ประเภทที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความสำเร็จของแคมเปญ ดังนั้นการรู้เรื่อง SEO vs SEM จึงเป็นขั้นตอนสำคัญของการตลาดดิจิทัลเช่นกัน

เราได้ไปรวบรวมข้อมูลการตลาดดิจิทัลมา พบว่าการปรากฏบนหน้าแรกของผลการค้นหาของ Google ทำให้มีการเข้าชมมากกว่าหน้าอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน นั่นเป็นเหตุผลที่บริษัทต่าง ๆ ยืนกรานที่จะนำแบรนด์ของตนไปไว้ในหน้าแรกของ SERP  และการใช้ SEO กับ SEM คีย์หลักที่จะใชทำให้เป้าหมายสำเร้จได้จริง

ความหมายที่แตกต่างกันของ SEO และ SEM

บทความนี้เรามาพูดถึงความหมายของคำว่า SEO และ SEM และสิ่งที่ทั้งสองทำ นอกจากนี้ เรายังจะตรวจสอบวิธีการเชื่อมต่อระหว่างกัน รวมถึงความแตกต่างของทั้งสองสิ่งด้วย เพื่อให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกคนเข้าใจ และใช้เป็นแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้ SEO และ SEM ไม่ว่าคุณจะเพิ่มเริ่มต้นและเชี่ยวชาญมาก ๆ ก็ตาม

Google เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก โดยมีการค้นหาเฉลี่ย 3.5 พันล้านครั้งต่อวัน แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า Search Engine ตัวนี้มีประโยชน์ในแง่ของการตลาดมากขนาดไหน และในความเป็นจริง แม้แต่ Search Engine ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เช่น Bing และ Wiki.com ก็ยังถือว่าคุ้มค่าที่จะพิจารณา เพราะผู้ใช้รายวันก็มีจำนวนมากเช่นกัน

ทั้งนี้แล้ว ในขณะที่อินเทอร์เน็ตทำให้โลกเล็กลง แต่พื้นที่ดิจิทัลนี้ก็ยังไม่เล็กพอที่ทำให้ลูกค้ามาบังเอิญเจอธุรกิจของคุณผ่านทางออนไลน์ เพราะมีเว็บไซต์มากกว่า 1.7 พันล้านเว็บไซต์ทั่วโลก จากข้อมูลในเดือนตุลาคม 2019 ของ Internet Live Stats และด้วยตัวเลือกมากมายนี้ นักการตลาดดิจิทัลจึงต้องดึงการเข้าชมมายังเว็บไซต์ของตนอย่างจริงจังก่อนที่คนอื่นจะแย่งไปก่อน และนั่นคือที่มาของ SEO และ SEM

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรามากกว่ากัน (1)

SEO และ SEM ในการตลาดดิจิทัลคืออะไร

Search Engine คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในโลกออนไลน์ และ Google เองก็ถือเป็นเครื่องมือ Search Engine ที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นข้อพิสูจน์ถึงจำนวนผู้ที่ใช้บริการของ Search Engine อยู่ในทุกวันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นักการตลาดมักนิยมใช้ Search Engine เป็นพื้นที่ในการดึงดูดลูกค้า

SEO และ SEM เป็นสองวิธีหลักที่นักการตลาดใช้ เพื่อให้แบรนด์ตัวเองปรากฏใน SERP ไม่ว่าเลือกจะใช้แบบใด คุณก็ควรปรับกลยุทธ์ของคุณให้เหมาะสมด้วย เพื่อสร้างยอดเข้าชมทั้งแบบออร์แกนิกและการค้นหาจาก PPC ได้จริง แต่ก่อนอื่น เราต้องมานิยามความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM กันก่อน

Search Engine Opimization (SEO)

SEO คือการรวบรวมเทคนิคและแนวทางปฏิบัติที่มุ่งนำเว็บไซต์ไปสู่แถวหน้าของ SERP หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์เพื่อให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ได้เร็วขึ้นในหน้าผลการค้นหา ยิ่งแคมเปญ SEO ของแบรนด์ประสบความสำเร็จมากเท่าใด ตำแหน่งของแบรนด์ก็จะยิ่งสูงขึ้นในผลการค้นหาทั่วไป นั่นเป็นเหตุผลที่ธุรกิจจำนวนมากใช้บริการเพิ่มประสิทธิภาพ Search Engine เพื่อให้บรรลุความพยายามนี้

Search Engine มักจะพิจารณาปัจจัยหลายร้อยอย่างเพื่อกำหนดอันดับของเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่ายังมีกลยุทธ์อีกหลายร้อยวิธีที่นักการตลาดใช้เพื่อให้ได้อันดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับ SEO สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ off-page, on-page และ Technical SEO:

  • Off-Page SEO ประกอบด้วยการโปรโมตเว็บไซต์โดยเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพอื่น ๆ ซึ่งก็จะมีตั้งแต่การสร้างลิงก์หรือรับ backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้บริการของผู้มีอิทธิพล การแบ่งปันสื่อสังคมออนไลน์ Guest Post ฯลฯ
  • On-Page SEO คือการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ Search Engine สามารถค้นหาและแนะนำให้ผู้ใช้ท หลัก ๆ จะโฟกัสในเรื่องของเนื้อหา ซึ่งก็จะรวมเรื่องการกำหนดเป้าหมายจากคีย์เวิร์ก การสร้างเนื้อหาที่ใช้ร่วมกันได้ และการใช้ Title Tag, Heading tag  และ Meta description เป็นต้น
  • Technical SEO คือการปรับปรุงด้านเทคนิคของเว็บไซต์ให้เหมาะสม เป้าหมายคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ โดยจะมีตั้งแต่ การปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ ตัวอย่างของโดเมน ได้แก่ การปรับรูปภาพให้เหมาะสม การตอบสนองมือถือ ระบบนำทางของเว็บไซต์ ความเร็วในการโหลด และการปรับ URL ให้เหมาะสม เป็นต้น

Search Engine Marketing (SEM)

SEM เป็นระบบการตลาดที่ใช้โฆษณาแบบชำระเงินเพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บน SERP โดยพื้นฐานแล้ว แบรนด์จะซื้อโฆษณาเพื่อให้ Search Engine แสดงเว็บไซต์ของตนที่ด้านบนสุดของผลการค้นหา การตลาดประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) โฆษณาแบบชำระเงิน และโฆษณาบนการค้นหาแบบเสียค่าใช้จ่าย

SEM มีหลายรูปแบบเช่นกัน มีตั้งแต่การโฆษณาแบบข้อความที่แสดงข้อมูลทั้งหมด ตั้งแต่ เนื้อหา ข้อมูลติดต่อ ลิงก์ ฯลฯ – ผ่านข้อความที่คิดมาแล้วอย่างดี หรือจะเป็นโฆษณาตามลิสต์ผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักในชื่อโฆษณา Shopping สามารถแสดงภาพได้มากกว่า อาจรวมถึงรูปภาพของผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ราคาและคำอธิบายของผลิตภัณฑ์

ระบบ SEM ไม่ใช่แค่การวางโฆษณาบน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ แต่จะครอบคลุมทั้งแคมเปญตั้งแต่ การตั้งงบประมาณ การวิจัยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น คีย์เวิร์ดและกลุ่มประชากร การเสนอราคา และการปรับใช้ อีกส่วนที่สำคัญของ SEM คือการติดตามความสำเร็จของแคมเปญเพื่อปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน ถือเป็นการใช้เครื่องมือการตลาดผ่านการค้นหาที่เชื่อถือได้อย่างมาก

ความคล้ายกันของ SEO และ SEM

แม้ว่า SEO และ SEM จะไม่ใช่คำที่สามารถใช้แทนกันได้ แต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือ เพิ่มการเข้าชมให้เว็บไซต์ แต่ละแบบก็จะมีมีวิธีตามฉบับของตัวเองในการทำให้แบรนด์ปรากฏในตำแหน่งหลักเมื่อทำการค้นหาผ่าน Search Engine ทั้งคู่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) เพื่อให้ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น

นอกจากวัตถุประสงค์แล้ว ระหว่าง SEO และ SEM ยังมีความเหมือนกันอยู่อีก ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งคือการใช้คีย์เวิร์ดเพื่อกำหนดเป้าหมายการค้นหาของผู้ใช้ เพื่อให้แคมเปญ SEO และ SEM ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จักผู้ชมของคุณก่อน เนื่องจากการค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการคือกุญแจสำคัญในการกำหนดว่าพวกเขาจะค้นหาคำใด เนื้อหาของเว็บไซต์สามารถปรับแต่งตามคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ SEO และ SEM มีเหมือนกันก็คือ ทั้งคู่ต้องการการตรวจสอบและการเพิ่มประสิทธิภาพ คุณไม่สามารถที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วคาดหวังให้พวกเขาทำงานด้วยตัวเองได้ ต้องตรวจสอบประสิทธิภาพทั้งสองเพื่อดูว่าวิถีการขับเคลื่อนของการเข้าชมว่าทำได้ดีแค่ไหน แต่หากวัดจากตรงนี้ SEO จะให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่ามาก แต่ทั้งสองรูปแบบก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่ต้องพึ่งพาการใช้คีย์เวิร์ดเหมือน มาเช็กให้เคลียร์กันกว่าว่าทั้ง SEO และ SEM เหมือนกันตรงจุดไหนบ้าง:

  • เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์
  • เพิ่ม CTR
  • ใช้การกำหนดเป้าหมายจากคีย์เวิร์ด
  • ต้องการความเข้าใจลูกค้า
  • ต้องการการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
  • ต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้อัปเดต

ทำไม SEO และ SEM ถึงความสำคัญ

SEO และ SEM ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของธุรกิจในปัจจุบัน ประชากรกว่าครึ่งโลกออนไลน์ ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นตลาดสำคัญที่ต้องพิจารณา ไม่มีทางที่บริษัทต่าง ๆ จะปล่อยให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ผ่านไป  SEO และ SEM จึงกลายเป็นการตลาดแนวหน้า สามารถเข้ามา ปรึกษาการทำ SEO กับเราได้ที่ บริษัทดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ เมื่อใช้งานอย่างถูกวิธี แน่นอนว่ามันนี้จะช่วยให้คุณได้รับผลประโยชน์มากมาย ซึ่งเราจะพูดถึงด้านล่างนี้

ยอดเข้าชมที่เพิ่มขึ้น

แคมเปญการตลาดบนเว็บที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งยอดการเข้าชมของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้นตามด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบชำระเงินหรือแบบออร์แกนิก ผู้บริโภคมักจะเลือกเว็บไซต์ในหน้าแรกของ SERP อยู่แล้ว สิ่งนี้ทำให้แบรนด์มีโอกาสมากขึ้นในการแสดงผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเอง เพราะว่าผู้คนจะเห็นผลิตภัณฑ์และบริการเหล่านี้มากขึ้น

Conversion ที่ดีขึ้น

ข้อดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ SEO และ SEM คือช่วยให้ Search Engine สามารถค้นหาเว็บไซต์โดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม นั่นเป็นเพราะ Search Engine ใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่แสดงนั้นเกี่ยวข้องกับที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ นี่เป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจของคุณ เนื่องจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณจำนวนมากมีความตั้งใจที่จะซื้อ ดังนั้น จำนวนคลิกที่เพิ่มขึ้นก็จะหมายถึงลูกค้าจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย

การรับรู้ถึงแบรนด์

ไม่สำคัญว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณจะดีแค่ไหนหากคุณไม่เป็นที่รู้จักของผู้ชม SEO และ SEM สามารถช่วยให้ธุรกิจได้รับการยอมรับตามที่สมควรจะได้รับ ไม่จำเป็นต้องเป็นการเข้าชม แค่ปรากฏในหน้าค้นหาก็มีประโยชน์ในตัวมันเองแล้ว เมื่อแบรนด์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมากจะรับรู้ว่าคุณมีอยู่จริง สิ่งที่ตามมาคือผู้ใช้งานต่าง ๆ ก็จะรับรู้ถึงให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ และพร้อมจ่ายเงินซื้อได้

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรามากกว่ากัน (2)

SEO หรือ SEM ที่ดีกว่ากัน

มาึถึงตรงนี้ ก็ได้เวลาของหารือแล้วว่า SEO และ SEM แบบไหนดีกว่าและสรุปแล้ว SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร? มีกลยุทธ์ทางการตลาดแบบไหนที่เหมาะกับทุกคนหรือไม่? ทั้งสองแบบแตกต่างกันในทุกด้านหรือเปล่า?  มาลองดูการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM กันอย่างละเอียดไปเลยดีกว่า…

ค่าใช้จ่าย

SEM เป็นการจ่ายต่อคลิก ตั้งนั้นคุณต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่มีผู้ใช้คลิกที่ผลการค้นหา ต้นทุนเริ่มต้นอาจมองไม่เห็น แต่ต้นทุนทบต้นเมื่อเวลาผ่านไปจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ จำนวนการเสนอราคาสำหรับโฆษณายังเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดอันดับของหน้าด้วย หมายความว่าคุณอาจต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ

ในทางกลับกัน การทำ SEO นั้น แม้ว่าจะไม่ฟรี แต่ก็ไม่ได้แพงเท่า SEM เป็นความจริงที่คุณจะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งกับแคมเปญ SEO ที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่ดีในการลงทุนใน SEO อยู่มากมาย เพราะมันช่วยเพิ่มชื่อเสียง ทำกำไร สร้างมูลค่าให้แบรนด์ และอื่น ๆ อีกมาก ทำให้ราคาที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่า นอกจากนี้ เมื่อแคมเปญประสบความสำเร็จ คุณจะใช้เงินและความพยายามน้อยลงในการรักษาตำแหน่งอีกด้วย 

เวลามีผล

SEM สามารถทำบางสิ่งที่ SEO ได้แค่ฝันถึงเท่านั้น นั่นคือเมื่อเริ่มยิงเว็บไซต์ไป จะติดอันดับสูงสุดในชั่วข้ามคืน นั่นเป็นเพราะทันทีที่โฆษณาได้รับการชำระและใช้งาน โฆษณานั้นจะเริ่มปรากฏบน SERP ทันทีนอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเพื่อให้อันดับสูงขึ้นตามที่ต้องการ

ส่วน SEO นั้นค่อนข้างช้า แต่มั่นคงและยั่งยืนกว่า โดยทั่วไปจะใช้เวลาสองสามเดือนกว่าที่ผลลัพธ์จะเริ่มปรากฏขึ้น และภายในเดือนนั้น การใช้กลยุทธ์ SEO ที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

คุณภาพของ CTR 

ด้วยเงินที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการแสดงโฆษณาแบบจ่ายเงินบนผลการค้นหา แต่ผู้ใช้มักจะเชื่อถือผลการค้นหาแบบออร์แกนิกมากกว่า หมายความว่ามี CTR ที่ได้จากผลการค้นหาทั่วไปจะมากและมีคุณภาพกว่า และรวมถึง CTR เหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความตั้งใจซื้อด้วย

ผลลัพธ์ออร์แกนิกที่อยู่ในอันดับต้น ๆ จะมี CTR คุณภาพสูงสุด แต่การขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สิ่งนี้ทำให้ความพยายามทั้งหมดนั้นคุ้มค่า ผู้คนเลือกเชื่อถือ Search Engine อย่าง Google และยังมั่นใจในเว็บไซต์อันดันต้น ๆ ที่พวกเขาเห็น เพราะว่ากันตามตรงใครก็ต่างชอบผลการค้นหาทั่วไปที่ปรากฏในหน้าแรก มากกว่าที่เลือกผลการค้นหาที่มี Ad ติดมาด้วย

ผลการค้นหา (Search Results)

SEM ให้ตัวเลือกในการเพิ่มคุณลักษณะพิเศษเพื่อให้ปรากฏในผลการค้นหา รวมทั้งการโทร ลิงก์เว็บไซต์ และส่วนขยายโฆษณาอื่น ๆ นอกจากนี้ ลิสต์ผลิตภัณฑ์อาจดีกว่ามากในแคมเปญแบบชำระเงิน นั่นเป็นเพราะ Search Engine อย่าง Google อนุญาตให้ใช้รูปภาพสำหรับโฆษณา PPC ได้ ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามารถใส่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น ราคา บทวิจารณ์ ส่วนลด ฯลฯ นี่เป็นช่องทางที่ดีสำหรับการเพิ่ม CTR เลยทีเดียว

ส่วนผลการค้นหาใน SEO จะแสดงเป็นข้อความธรรมดา ๆ  ดังนั้นนักการตลาด SEO จึงต้องพึ่งพา Title tag และ Meta Description เป็นหลักเพื่อดึงดูดการคลิกเข้ามา อย่างไรก็ตาม Google ใจดี มี Feature Snippets ต่าง ๆ สำหรับเว็บไซต์คุณภาพที่ตอบคำถามของผู้ใช้ได้กระชับและจัดระเบียบอย่างดี แม้ว่าจะยังคงอยู่ในรูปแบบของข้อความธรรมดาก็ตาม

ความยั่งยืน

ในขณะที่ SEM ช่วยให้คุณไปถึงจุดสูงสุดได้ คุณจะอยู่ที่นั่นตราบเท่าที่คุณสามารถจ่ายได้ หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา แคมเปญประเภทนี้ก็เหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังทำงานโดยใช้งบประมาณการตลาดที่จำกัด คุณอาจต้องพิจารณาใหม่ ท้ายที่สุด เมื่อคุณหยุดจ่าย คุณจะหยุดแสดงในผล SERP ทันที

แต่สำหรับหารทำ SEO เมื่อเว็บไซต์ของคุณไปถึงอันดับที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้ความพยายามอีกสักเล็กน้อยเพื่อรักษาอันดันนั้นไว้นาน ๆ ต้องขอบคุณผลทบต้นที่เพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของคุณขึ้นเรื่อย ๆ  ตราบใดที่คุณยังคงทำการเพิ่มประสิทธิภาพต่อเนื่องอยู่แบบนั้น คุณก็จะรักษาอันดับของคุณไว้ได้ ทั้งนี้แล้วข้อเสียประการหนึ่งของการเป็นน้องใหม่กับอุตสาหกรรมนี้ คือเว็บไซต์เที่ครองตำแหน่งสูงสุดดูเหมือนจะร่วงยากมาก ดังนั้นหากคุณอยากแซงหน้าคู่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ คุณจะต้องพยายามอย่างหนักและวางแผนกลยุทะ์ SEO ให้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทัศนวิสัย

SEM มักจะให้ตัวเลือกเพื่อให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณได้รับการกำหนดเป้าหมายแบบเล็งตรงไปยังผู้ชมที่ตรงกลุ่ม มีตัวกรองที่ให้คุณเลือกได้ว่าต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏแก่ใครบ้าง ตัวกรองประกอบด้วยตำแหน่ง อายุ อุปกรณ์ที่ใช้ ภาษา และอื่น ๆ นี่เป็นสิ่งจำเป็นในการทำ SEM เนื่องจากการคลิกแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นคุณต้องได้การคลิกที่มีโอกาสเกิด Conversion สูงที่สุดเท่านั้น

SEO ประกอบด้วยกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมที่เหมาะสมจะโต้ตอบกับเว็บไซต์ ผู้ใช้เป้าหมายสามารถมองเห็นได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการทำ SEO ไม่มีระดับการควบคุมเหมือนที่ SEM มี ดังนั้นจึงมีผู้ชมที่ค่อนข้างกว้าง สิ่งนี้อาจฟังดูดี แต่จริง ๆ แล้วมีส่วนทำให้ถูกฝังอยู่ใต้ผลการค้นหาทั่วไปอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งที่คุณต้องการดึงดูดผู้เข้าชมที่เหมาะสมมากกว่า

ผลตอบแทนการลงทุน (ROI)

SEM ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แคมเปญทำงานต่อไป ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับนั้นจะอยู่ตราบเท่าที่คุณป้อนเงินให้กับ Search Engine ด้วยเหตุนี้ ต้นทุนต่อลูกค้าเป้าหมายของการทำโฆษณาที่เสียเงินจึงสูงกว่าการทำ SEO มาก

SEO มีโอกาสที่ดีกว่าในการสร้าง ROI ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ SEM ตราบใดที่ได้รับการปรับให้เหมาะสม แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ก็ถูกกว่าเยอะ ดังนั้นคุณจะมีความเสี่ยงน้อยลงเมื่อปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยแคมเปญ SEO นอกจากนี้ เนื่องจากต้นทุนต่อโอกาสในการขายต่ำกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนจึงสูงขึ้น

การควบคุม

SEM ให้การควบคุมลักษณะส่วนใหญ่ของโฆษณามากกว่า ดังนั้นแคมเปญสามารถจึงปรับแต่งได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น หมายความว่าคุณสามารถปรับแต่งข้อความของคุณให้เหมาะกับประสบการณ์การใช้งานที่เข้ากับพื้นที่หรือเหมาะกับบุคคลมากขึ้น คุณยังสามารถใส่รูปภาพและองค์ประกอบที่น่าสนใจและมีประโยชน์อื่น ๆ ได้อีกด้วย งบประมาณยังอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการตลาด สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาใช้เงินมากขึ้นในแคมเปญที่ประสบความสำเร็จและตัดขาดจากแคมเปญที่ไม่ประสบความสำเร็จ และเนื่องจากแทบจะควบคุมทุกแง่มุมของโฆษณาได้ SEM จึงเหมาะสำหรับการทดสอบว่าโฆษณาใดจะใช้ได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผลมากกว่า

ในทางกลับกัน ความสามารถในการควบคุมของ SEO อาจจะยากกว่า SEM อย่างเรื่องแรกเลยคือ รูปแบบที่ใช้แสดงข้อความนั้นจะต้องสอดคล้องกัน ดังนั้นจึงจำกัดเฉพาะใน Search Engine เท่านั้น นักการตลาดด้าน SEO ยังจำกัดการแสดงข้อความที่ต้องอ้างจากผลการค้นหาเท่านั้นด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ผลลัพธ์จะแสดงผลอย่างเต้มรูปแบบ การทำ SEO จึงไม่เหมาะสำหรับการทดสอบ

สรุป SEO กับ SEM

  • SEO เป็นมิตรกับต้นทุนมากกว่า
  • SEM มีผลในเวลาที่สั้นกว่ามาก
  • SEO ยั่งยืนกว่าในระยะยาว
  • SEM แสดงมากกว่าด้วยข้อความมาตรฐาน
  • SEO มี CTR ที่มีคุณภาพสูงกว่า
  • SEM ช่วยให้โฆษณาสามารถแสดงต่อผู้ชมที่เฉพาะเจาะจงได้
  • SEO มีโอกาสที่ดีกว่าในการได้รับ ROI ที่สูงขึ้น
  • SEM ให้การควบคุมองค์ประกอบต่า งๆ ของโฆษณาในระดับที่น่าทึ่ง

กลยุทธ์ทางการตลาดผ่านการค้นหาใดที่เหมาะกับคุณ

คำถามหนึ่งข้อที่ค้างคาใจคือ สรุปแล้ว SEO หรือ SEM แบบไหนดีกว่ากันสำหรับธุรกิจของคุณ คำตอบอยู่ที่ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM โดยคุณต้องคำนึงถึงงบประมาณ ความต้องการทางธุรกิจ และอื่นๆ ประกอบกัน ดูว่าข้อดีข้อเสียของทั้งแบบ แล้วเลือกว่าคุ้มค่าและความเสียเปรียบแบบไหนจะเหมาะกับการตลาดของแบรนด์คุณที่สุด

คุณมีงบประมาณหรือไม่? ถ้ามีก็อาจจะพิจารณา SEM มาช่วยในสร้างแบรนด์ หรืออยากได้จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ต่อเดือน? ก็ให้เลือกเป็น SEO แทน หรือยังน้องใหม่ ไม่แน่ใจจะเลือกแบบไหนดี? SEM อาจช่วยให้คุณเริ่มต้นการจดจำแบรนด์ของคุณได้  หรือถ้าคุณมีคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่คุณใช้ไม่ได้แล้วมีการแข่งขันสูง ลองมาพยายามครอบงำคีย์เวิร์ดเหล่านี้ด้วย SEO ดู….

ดังที่เห็นในการเปรียบเทียบด้านบน อย่างไรก็ตาม SEO และ SEM ดูเหมือนจะเสริมซึ่งกันและกัน SEO ขาดอะไร SEM หยิบขึ้นมาช่วยเสริมได้ ซึ่งหมายความว่าหากคุณมีงบประมาณเพียงพอ SEM และ SEO เป็นวิธีที่เหมาะที่สุด

ใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แยกจากกัน เพราะในความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอาจมาถึงผู้ที่ผสมผสานระหว่าง SEM กับ SEO ออกมาเป็นแคมเปญทางการที่ครอบคลุมทุกรอยรั่ว 

Share: