Meta Tag คืออะไร

asiasearch
July 12, 2023

เมตาแท็ก ( Meta Tag ) เป็นส่วนหนึ่งของโค้ด HTML ของเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ได้มากขึ้น และยังส่งผลต่อลักษณะที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาด้วย

เมตาแท็กยังบอกเบราว์เซอร์ถึงวิธีการแสดงเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่าง ๆ พูดง่าย ๆ คือ เบราว์เซอร์จะสามารถตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงอย่างถูกต้องสำหรับทั้งผู้ใช้เดสก์ท็อปและมือถือ

และนั่นเป็นการบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับการใช้งานบนมือถือ ข้อนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google

พูดได้เต็มปสกเลยว่าเมตาแท็กเป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO มาก ๆ ๆ ๆ ๆ

ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำคุณเกี่ยวกับเรื่องเบสิก SEO และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของการใช้เมตาแท็กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้หน้าเว็บของคุณ พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีชี้นำ Search Engine ให้รู้จักหน้าเว็บของคุณและเอาไปจัดอันดับให้สูงขึ้นอีกด้วย 

เมตาแท็ก (Meta Tag) คืออะไร?

เมตาแท็กให้ข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเว็บและมีผลโดยตรงต่อ วิธีที่ Search Engine มองและแสดงเว็บไซต์

มาดูตัวอย่างการเขียนโค้ด HTML ในส่วนหัวของหน้าเพจกัน:

<html>

<head>

<meta name=”description” content=”รู้จักเมตาแท็ก เพิ่มโอกาสไต่แรงก์บนหน้าการค้นหาของ Google ได้ อับดับสูงขึ้น ยอดเข้าชมเพิ่มขึ้น สร้าง Conversion ได้ดังใจหวัง”>

</html>

</head>

องค์ประกอบเมตาแท็กเหมือนเป็นตัวอำนวนความสะดวกให้ Search Engine อย่าง Google ได้ ตัวอย่างด้านบนคือ การตั้งค่า meta description เพื่อเอาไว้บอก Google เกี่ยวกับหน้าเว็บ และ Google เองก็จะเอาส่วน meta description นี้ไปแสดงในผลการค้นหาให้คุณ

เมตาแท็กยังมีประโยชน์ต่อลูกค้าของคุณด้วย เพราะจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น เมตาแท็กของ viewport ที่จะบอกให้เบราว์เซอร์แสดงหน้าเว็บตามขนาดหน้าจอที่ผู้ใช้งานใช้

เมตาแท็กมีหลายประเภท แต่ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดก็จะมี ดังนี้:

  • Meta descriptions
  • Robot meta tags
  • Viewport meta tags

นอกจากนี้ title tag ที่ทำงานเหมือนเมตาแท็กเลย เพราะแท็กเหล่านี้มีหน้าที่คือช่วยให้ Google เข้าใจว่าเพจนั้นเกี่ยวกับอะไร เหมือนกับ Meta description เลย  Google ใช้ title tag เพื่อแสดงหน้าเพจของคุณในหน้าผลการค้นหา ทั้งนี้ อย่าสับสนกันเด็ดขาด จำไว้ว่าในทางเทคนิคแล้ว  title tag ไม่ใช่เมตาแท็ก

Meta Tag (1)

Meta description คืออะไร?

Meta description เป็นเหมือนสรุปเนื้อหาของหน้าเว็บให้บอทรวบรวมข้อมูลของ Search Engine รวมถึงผู้ใช้งานเองด้วย ปกติด็จะปรากฏใต้ Title ในหน้าผลการค้นหาของ Search Engine 

โค้ดสำหรับแท็ก Meta description มีลักษณะดังนี้:

<meta name=”description” content=”เรารวบรวมลิสต์รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับปี 2020 พร้อมจัดเรียงตามยี่ห้อ หมวดหมู่ และความเหมาะสม คุณสามารถหารองเท้าของคุณเองได้ มาดูว่าลิสต์รองเท้ามีอะไรกันบ้าง” />

ปรับ Meta description ยังไงให้เหมาะกับ SEO

แม้ว่า Meta description จะไม่ได้เป็นส่งผลต่อการจัดอันดับของ Google มากขนาดนั้น แต่ก็ยังเป็นตัวอย่างข้อมูลในหน้าผลการค้นหาของ Google ที่ช่วยให้เข้าถึงผู้ค้นหาได้

ให้คิดว่า Meta description ไม่ใช่ปัจจัยในการจัดอันดับ แต่เป็นวิธีเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าเพิ่ม Meta description ที่สร้างสรรค์ น่าอ่าน เข้าใจง่าย ละมีคีย์เวิร์ดเป้าหมายแล้วหรือยัง เพื่อให้สามารถดึงดูดยอดเข้าชมได้ สามารถเข้ามาใช้บริการ seo agency ที่นี่ได้เลย

ลองปรับ Meta description ให้น่าคลิกด้วยแนวทางนี้กันดู:

  • เขียนไม่เกิน 160 ตัวอักษร
  • เขียนแบบสรุปใจความสำคัญ 
  • หลีกเลี่ยง Meta description ที่ซ้ำกันทั้งเว็บไซต์
  • เขียนให้ตรงจุด บรรยายได้ดี และกระชับ
  • เขียนให้ตรงกับความตั้งใจในการค้นหา (search intent)
  • ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายเข้าไปให้เป็นธรรชาติ

ลองใช้เครื่องมือตรวจสอบ On- page SEO เข้ามาช่วยดู เพื่อจะได้เพิ่มประสิทธิภาพเมตาแท็ก และเพื่อให้มั่นใจว่าเมตาแท็กของคุณจะได้รับการปรับให้เหมาะกับ SEO 

Robot meta tag คืออะไร?

Robot meta tag จะแนะนำเครื่องมือค้นหาว่าคุณต้องการให้เข้ามารวบรวมข้อมูลหรือจัดทำดัชนีส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์หรือไม่ หน้าเว็บและลิงก์คุณสร้างบนหน้าเว็บไซต์จะได้รับการจัดทำดัชนีโดย search bots และโปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บตามที่คุณตั้งค่าไว้ หมายความว่าคุณสามารถใช้ Robot meta tag ควบคุมการจัดทำดัชนี Googlebot ให้เว็บไซต์ของคุณได้

Robot meta tag ในส่วนหัวของหน้าเว็บ มีลักษณะดังนี้:

<meta name=”robots” content=”noindex”>

คุณสามารถเพิ่มแท็กนี้ให้ Search Engine ใน content attribute ได้

แท็กคำสั่งที่ถูกใช้บ่อย ๆ ได้แก่ :

  • Index: เป็นการบอกให้บอทจัดทำดัชนี ว่าให้มาจัดทำดัชนีหน้าเว็บนี้ ผู้ใช้งานก็จะมองเห็นหน้าดังกล่าวได้ ถ้าคุณไม่ได้เพิ่มอะไรในโค้ดก็จะแสดงเป็นค่าเริ่มต้น
  • Noindex: เป็นการสั่ง Search Engine ไม่ให้เพิ่มหน้าเว็บนี้ลงในดัชนี หมายความว่าหน้าเว็บจะไม่แสดงในหน้าผลการค้นหา
  • Follow: คำสั่งนี้ทำให้ Search Engine สามารถติดตามลิงก์ที่คุณวางไว้ในหน้าเว็บของคุณ และนำผู้อ่านไปยังหน้าอื่น ๆ หากคุณไม่ได้เพิ่มคำสั่งนี้เข้าไปในซอร์สโค้ด ก็จะแสดงเป็นค่าเริ่มต้น
  • Nofollow: เป็นการสั่งบอทของ Search Engine ไม่ให้รวบรวมข้อมูลลิงก์ในหน้านั้น และคุณเองก็ไม่ได้รับรองลิงก์นั้น บางเว็บไซต์ใช้เพื่อความปลอดภัยในการแจ้ง Search Engine ว่าพวกเขาไม่ใช้สแปม
  • Noarchive: เป็นการแจ้งเครื่องมือค้นหาไม่ให้แคชหรือแสดงเพจ

ถ้าใช้ WordPress มีปลั๊กอินมากมายที่สามารถช่วยได้ เช่น ถ้าอยากแก้ไขการตั้งค่าขั้นสูงของ Yoast เพื่อตั้งค่า robots meta tag ส่วนระบบจัดการเนื้อหา (CMS) อื่นๆ เช่น Squarespace และ Wix ก็มีตัวเลือกให้อยู่เหมือนกัน

Meta Tag (2)

เพิ่มประสิทธิภาพให้ Robots Meta Tag เหมาะกับ SEO

Robots Meta Tag จะจำกัดวิธีที่ Google เก็บรวบรวมข้อมูลหน้าเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ

ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้คำสั่ง noindex เมื่อไม่ต้องการให้ Google จัดทำดัชนีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เพราะมันไม่เหมาะสำหรับการทำ SEO 

หรือใช้คำสั่ง nofollow เมื่อไม่ต้องการให้ Google รวบรวมข้อมูลลิงก์ในหน้านั้นหรือหากหน้านั้นเป็นส่วนแสดงความคิดเห็น แล้วคุณไม่อยากให้ให้ผู้อื่นแท็กลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของพวกเขา เพื่อสร้าง Backlink ก็สามารถใช้แท็กคำสั่งนี้ได้เหมือนกัน

Viewport Meta Tag คืออะไร?

เพื่อให้เข้าใจส่วนนี้ เราต้องรู้จัก Viewport ก่อน ถ้าให้อธิบายแบบง่าย Viewport คือ พื้นที่ที่ผู้ใช้มองเห็นได้จากหน้าเว็บ

ดังนั้นหากมีคนดูเว็บไซต์ของคุณบนมือถือ เท่ากับว่าพวกเขาจะดูผ่าน Viewport ที่เล็กกว่าคนที่เห็นเว็บไซต์ของคุณบนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป

เพิ่มโค้ด HTML ด้านล่างของส่วน <head>  สำหรับการใช้งานบนมือถือได้ดังนี้:

<meta name=”viewport” content=”width=device-width, initial-scale=1.0″>

Viewport Meta Tag จะสั่งให้เบราว์เซอร์ เช่น Chrome หรือ Firefox แสดงหน้าเว็บบนหน้าจอขนาดต่าง ๆ เช่น เดสก์ท็อป แท็บเล็ต หรือมือถือ

ถือเป็นองค์ประกอบหลักของการออกแบบที่ปรับเปลี่ยนได้ตามอุปกรณ์ที่ใช้ ด้วยการใส่โค้ด HTML เพื่อเปลี่ยนรูปร่างและขนาดโดยอัตโนมัติเพื่อปรับให้เข้ากับอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ของผู้ใช้

การออกแบบที่ตอบสนองการใช้งาน (Responsive design) ที่ถูกต้องจะช่วยให้การแสดงผลออกมาได้ดี และทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้น Responsive design นี้จึงเป็นวิธีที่ Google จะใช้ในการแสดงเนื้อหาต่อผู้ใช้มือถือ

เนื่องจากการค้นหาทางออนไลน์กว่า 50% มากจากอุปกรณ์มือถือ Viewport Meta Tag จึงกลายเป็นแนวทางปฏิบัติ SEO ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก ไม่ควรมองข้ามเลย

เพิ่มประสิทธิภาพ Viewport Meta Tag สำหรับ SEO

ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอาจออกจากเว็บไซต์ทันที ถ้าพวกเขาเข้าถึงผ่านโทรศัพท์มือถือไม่ได้ เพราะคุณมีแต่เวอร์ชันเดสก์ท็อปให้

จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะจะคลิกจะอ่านอะไรในหน้าเว็บก็ยากไปเสียหมด ยิ่งไปกว่านั้นถ้ายังคงปล่อยไว้แบบก็จะยิ่งสร้างอัตราตีกลับ (Bounce Rate) ให้เว็บไซต์ของคุณอีกด้วย บอกได้เลยว่ามันจะกลายเป็นสัญญาณไม่ดีต่อ Google ในการจัดอันดับการค้นหาของคุณอย่างแน่นอน

แถม Google เคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจหน้าที่มี Responsive design ได้ดีกว่าหน้าที่ไม่ได้ใช้ ดังนั้นจึงอาจจัดลำดับหน้าที่ใช้ให้สูงกว่าหน้าที่ไม่ใช้ Viewport Meta Tag และ Responsive design 

Title Tag คืออะไร?

Title Tag จะบอก Search Engine ว่าคุณต้องการให้แสดงชื่อแบบไหนใน SERP อาจเป็นเวอร์ชันที่เรียบง่ายจากคำขึ้นต้นของเนื้อหาบนหน้าเว็บ หรือ H1 ก็ได้ 

ไม่เพียงเท่านี้ Title Tag ยังไปสำหรับแสดงบนแท็บเบราว์เซอร์และแสดงบนโพสต์เมื่อถูกแชร์เพจบนโซเชียลมีเดียอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของหน้าเพจเลยก็ว่าได้

การใส่ Title Tag ให้หน้าเว็บของคุณช่วยให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Seach Engine อ่านแล้วนำไปจัดประเภทและจัดอันดับเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น

โค้ดสำหรับ Title Tag มีลักษณะดังนี้:

<title>รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด | รีวิวรองเท้าวิ่ง 2020</title>

เพิ่มประสิทธิภาพ Title Tag ให้เหมาะกับ  SEO

Title Tag เป็นหนึ่งในเมตาแท็กที่สำคัญที่สุด Search Engine และผู้ที่ใช้งานจะเห็นตรงนี้ก่อนใครเพื่อน เหมือนเป็นโอกาสแรกของคุณที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหา พูดง่าย ๆ คือเป็นประตูบ้าน ที่ถ้าทำดีก็ดึงดูดในคนคลิกเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้

คำแนะนำเพื่อสร้างสรรค์ Title Tag ให้น่าดึงดูด :

  • เพิ่ม Title Tag ให้ทุกหน้าเพจในเว็บไซต์
  • หลีกเลี่ยงการเขียนแบบยาว ๆ ควรต่ำกว่า 60 อักขระจะดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยง Title Tag ที่คลุมเครือ เช่น “หน้าแรก” สำหรับหน้าโฮมเพจ
  • เขียนให้เป็นเอกลักษณ์สำหรับหน้าใดหน้าหนึ่งในเว็บไซต์
  • เขียนให้ตรงกับความตั้งใจในการค้นหา (Search Intent)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อแบบ clickbait
  • ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายตามความเหมาะสมและเป็นธรรมชาติ

ปรับปรุงเมตาแท็กของคุณวันนี้

มีหลายองค์ประกอบของการทำ SEO แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็สามารถเข้าใจและปรับปรุงเมตาแท็กบนเว็บไซต์ของคุณได้ อาจลองใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วย บางเครื่องมือถือสามารถช่วยได้ทั้งตรวจสอบ SEO ช่วยรวบรวมข้อมูลของคู่แข่งของคุณ และให้คำแนะนำบางอย่างที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันทีพร้อมกันเลยในเครื่องมือเดียว หาที่เหมาะกัยการใช้งานของคุณ เพียงเท่านี้การทำ SEO ก็ไม่ใชเรื่องยากแล้ว สามารถเข้ามาปรึกษาการทำ Digital Marketing Agency กับ ทีมงาน AsiaSearch บริการโฆษณาออนไลน์แบบครบวงจร

Share: