SEO คืออะไร?

asiasearch
June 14, 2023

SEO คืออะไร SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือการเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ที่หลายคนอาจคุ้นกันในชื่อเครื่องมือค้นหา เช่น Google ที่เรามักใช้ค้นหาอะไรก็ตามที่เราต้องการ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมให้แก่เว็บไซต์แบบออร์แกนิก โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ Ads 

SEO ยังเป็นกลยุทธ์การตลาดที่น่าเชื่อถือและไม่ต้องใช้งบเยอะก็สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชม รวมถึงสร้าง Conversion ได้ 

การทำ SEO เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติมโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเข้ามาปรึกษาการทำ SEO ให้กับธุรกิจของคุณกับ ผู้ให้บริการ Digital Agency กับเราได้เลย บริการรับทำ SEO คุณภาพ ให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกใน Google เรามีประสบการณ์ด้าน SEO มามากกว่า 10 ปี

เพื่อให้คุณเข้าใจ SEO มากขึ้น บทความนี้เราจะมาพูดถึง SEO กันแบบละเอียดยิบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ วิธีการทำงานของ SEO รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการแรงก์ เพื่อให้คุณสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปปรับปรุงเว็บไซต์จนสามารรถไต่อันดับในเครื่องมือค้นหาได้ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย  

SEO คืออะไร ความแตกต่างของ SEO กับ SEM?

ระหว่าง Search engine optimization (SEO) กับ Search engine marketing (SEM) ต่างก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้เพื่อเข้าถึงผู้ชมผ่านผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาทั้งคู่ 

แต่ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด ๆ SEO คืออะไร คือ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมเพื่อให้ได้อันดับดีขึ้นผ่านการเข้าชมแบบออร์แกนิกหรือไม่เสียเงินซื้อ Ads ว่ากันง่าย ๆ คือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing เห็นเว็บไซต์ในหน้าแรกของผลการค้นหา แล้วก็คลิกเข้ามาเลย

ส่วน SEM จะเป็นกลยุทธ์แบบเสียเงินเพื่อเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ผู้เข้าชมจะมาจากการคลิกโฆษณาที่สร้างไว้บน Google Ads หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ

ทั้งนี้แล้ว SEO ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อให้ได้ผลที่สม่ำเสมอและยั่งยืน แต่ SEM ได้ผลทันที หรือรอไม่นานเท่า แถมยังเห็นได้เลยว่าโฆษณาของคุณสร้างจำนวนคลิกและ Conversion ได้มากน้อยยังไงในเครื่องมือค้นหา

ถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่ SEO และ SEM ก็ทำงานร่วมกันได้ เพราะการจะสร้างกลยุทธ์ SEM ที่ดีได้ก็ต้องมีพื้นฐาน SEO ให้ดีก่อนนั่นเอง 

การเพิ่มประสิทธิภาพหน้า Landing Page ด้วยคีย์เวิร์ดสามารถปรับปรุงคะแนนคุณภาพและเพิ่มการมองเห็นบน Google ให้เว็บไซต์ของคุณได้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรามากกว่ากัน?

SEO คืออะไร

ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการทำ SEO  

ในฐานะเครื่องมือค้นหาทั่วไป Google ประมวลผลการค้นหากว่า 6.5 พันล้านรายการต่อวัน ดังนั้น อันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google จึงมีศักยภาพในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณอย่างมากเลยทีเดียว

นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องให้ความสนใจปัจจัยการจัดอันดับของ Google ต่าง ๆ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีการพัฒนาอยู่ตลอด ไปพร้อม ๆ กับอัลกอริทึมการค้นหาของ Google เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุด และเป็นผลดีต่อประสบการณ์การใช้งาน

ตั้งแต่เวลาในการโหลดหน้าเว็บไปจนถึงเรื่องความปลอดภัยของเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือปัจจัยการจัดอันดับที่คุณต้องจับตามอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้:

  • Page speed: คือการกำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บ หน้าที่โหลดเร็วสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา หมั่นตรวจสอบประสิทธิภาพไซต์ของคุณเป็นประจำและใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความเร็ว เช่น PageSpeed ​​Insights ของ Google และการทดสอบความเร็วด้วย Pingdom เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกว่าเว็บไซต์ของคุณทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน
  • Mobile-friendliness: การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์จะปรับองค์ประกอบของเว็บไซต์ให้พอดีกับขนาดหน้าจอต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้เข้าชมในทุกอุปกรณ์ หน้าเว็บไซต์ที่ตอบสนองและเหมาะกับมือถือจะมีอันดับที่สูงขึ้น ลองใช้ Mobile-Friendly Test ของ Google เพื่อวัดความสามารถในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณดู
  • เนื้อหาคุณภาพสูง: การให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามของผู้ใช้งานให้แม่นยำมากที่สุด  Google จะประเมินที่ความยาว โครงสร้าง คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลของเนื้อหา ควรสร้างเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมและเพิ่มการมองเห็นไซต์ของคุณ
  • Backlinks: หรือจะเรียกว่าลิงก์ขาเข้าก็ได้ ลิงก์เหล่านี้จะลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณที่ไปวางไว้บนเว็บไซต์อื่น ทำหน้าที่เป็นบ่งชี้อำนาจของเว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์หนึ่งใส่ลิงก์ของคุณไว้ในเนื้อหา พวกเขาแล้วทำเครื่องหมายว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งที่มาที่เกี่ยวข้อง หน้าเว็บที่มี Backlink คุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้อันดับสูงขึ้นในหน้าผลการค้นหาของ Search Engine ได้
  • User experience: Google วัดประสบการณ์ของการใช้งานของผู้ใช้ผ่านสัญญาณต่าง ๆ รวมถึงอัตรา bounce rate และ dwell time เมื่อผู้เข้าชมมาที่เว็บไซต์และออกไปทันที Google จะถือว่าเว็บไซต์นั้นไม่เกี่ยวข้อง แต่หากผู้เข้าชมเข้ามาแล้วอยู่ในเว็บไซต์ระยะหนึ่ง แปลว่าเว็บไซต์นั้นให้ข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
  • ความปลอดภัยของเว็บไซต์: ข้อนี้จะเกี่ยวข้องกับการกระทำเพื่อปกป้องเว็บไซต์และผู้เยี่ยมชมจากการโจมตีทางไซเบอร์  Google จะจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ที่ปลอดภัยด้วย HTTPS เว็บไซต์ไหนที่ไม่มี จะถูกทำเครื่องหมายว่าไม่ปลอดภัยและทำให้ผู้เยี่ยมชมหายไป เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ใช้งานเว็บทุกคน การเพิ่มใบรับรอง SSL ให้กับเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงอยู่เสมอ

SEO ทำงานอย่างไร?

Google และ Search Engine อื่น ๆ  ทำงานเพื่อรวบรวม จัดระเบียบ และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบคำถามของผู้ใช้งาน เพื่อทำงานให้ดีพวกเขาจะต้องผ่านกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ได้แก่:

  • การรวบรวมข้อมูล:  Search Engine อาศัยทีมโปรแกรมรวบรวมข้อมูลไซต์ หรือที่เรียกว่า Spider Bot หรือเรียกง่ายๆ ว่าบอท เพื่อค้นหาเนื้อหาที่อัปเดตบนเว็บ โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บจะช่วยค้นหาและรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการจัดทำดัชนีหน้าเพจต่าง ๆ
  • การทำดัชนี: หมายถึงกระบวนการที่ Search Engine จัดเก็บและจัดระเบียบหน้าเว็บที่รวบรวม เมื่อโปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บพบข้อมูลบนไซต์ เช่น คีย์เวิร์ดและเนื้อหาใหม่ พวกเขาจะเพิ่มหน้าเว็บลงในดัชนีการค้นหา เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง  Search Engine จะดึงข้อมูลเว็บไซต์ที่จัดทำดัชนีไว้ออกมาแสดงผลให้ผู้ใช้งานเลือกตามการจัดอันดับ
  • การจัดอันดับ: หน้าเว็บในดัชนีการค้นหาจะแสดงในผลการค้นหาจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด 

กลยุทธ์ SEO จะปรับปรุงการแสดงเว็บไซต์ด้วยการทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้นในสายตาของ Search Engine พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำงานเพื่อพิจารณาว่าเว็บไซต์ของคุณดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการจัดอันดับได้ดีหรือไม่

ตัวอย่างเช่น ปรับปรุงโครงสร้าง internal link บนหน้าเว็บให้ดี เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บสามารถข้ามจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้ง่ายขึ้น ช่วยให้พวกเขาสำรวจเว็บไซต์ของคุณในเชิงลึกและจัดทำดัชนีเนื้อหาของคุณได้มากขึ้น (เรียนรู้เพิ่มเติม Anchor Text คืออะไร? และมีกี่ประเภท )

หรือบางครั้งถ้าหากไม่อยากให้สำรวจหน้าไหน ก็สามารถบล็อกบอทโดยใช้ไฟล์ robot.txt ได้

นอกจากนี้ อัลกอริทึมของ Search Engine ยังพิจารณาปัจจัยการจัดอันดับอย่างครอบคลุม เช่น คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง คุณภาพของ Backlink และความสดใหม่ของเนื้อหา

ดังนั้น หากจะเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์ คุณต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็สามารถเพิ่มผลลัพธ์การค้นหาของคุณได้แล้ว

SEO มีกี่ประเภท?

SEO มีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้:

On-page SEO 

On-page SEO หมายถึงกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพของแต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์ การทำ SEO ประเภทนี้จะเน้นไปที่เนื้อหาของหน้าเพจและโค้ด HTML รวมถึงแท็กชื่อ title tags, header tags และ meta description เพื่อให้ดึงดูดผู้ใช้เว็บและโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Search Engine 

On-page SEO ยังช่วยจัดระเบียบหน้าเพจของคุณเพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บของ Search Engine สามารถวิเคราะห์ความเกี่ยวของเนื้อหาและจัดทำดัชนีสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องได้อย่างง่ายดาย

เพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ On-page SEO มันก็พอมีแนวทางให้ทำตามอยู่หลัก ๆ ดังนี้

  • เนื้อหาของเว็บไซต์: Google ใช้เฟรมเวิร์กที่เรียกว่า E-A-T (expertise, authoritativeness, และ trustworthiness) เพื่อประเมินคุณภาพของเนื้อหา หน้าเพจ และเว็บไซต์ ยิ่งเนื้อหามีคุณภาพสูง เขียนจากผู้เขียนที่มากประสบการณ์ บนเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ก็จะยิ่งได้อันดับสูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา ต้องแน่ใจมาก ๆ ว่าหน้าเพจของคุณนั้นตรงตามเกณฑ์เหล่านี้ทุกข้อ
  • การเพิ่มประสิทธิภาพด้วยคีย์เวิร์ด: การวางคีย์เวิร์ดในเนื้อหาจะช่วยให้อัลกอริทึมการค้นหาระบุประเภทของข้อมูลที่ให้ ลองใช้เครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs Keywords Explorer หรือ Google Keyword Planner เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดเป้าหมายและสร้างเนื้อหาดู ข้อสำคัญอีกอย่างคือ อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระจายคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษของ Google ที่อาจมองว่าเราตั้งใจยัดคีย์เวิร์ด
  • Title tag: หรือที่เรียกว่าชื่อเพจ จะปรากฏเป็นลิงก์ที่คลิกได้ในหน้าผลการค้นหาของ Search engine Title tag จะช่วยกำหนดความเกี่ยวข้องของเพจกับจุดประสงค์ในการค้นหาของผู้ใช้ ยิ่งเขียนชื่อเพจดี ก็จะยิ่งจะสร้างการคลิกมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการเข้าชมหน้าเพจอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ Search Engine เช่น Google ยังต้องการชื่อที่กระชับ มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น เพื่อนำไปจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาให้แก่คุณ
  • Header tag: การแบ่งเนื้อหาออกเป็นชิ้น ๆ ด้วย Header tag จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น และทำให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บสามารถจัดทำดัชนีหน้าเว็บของคุณได้ง่ายขึ้นด้วย เมื่อผู้ใช้พิมพ์ข้อความค้นหา Search Engine ก็จะค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยใช้แท็กเหล่านี้เป็นแนวทาง ดังนั้น ถ้าใครอยากเพิ่มโอกาสให้เพจปรากฏในผลการค้นหาสูงขึ้น อย่าลืมกำกับ Header tag ให้หัวข้อของคุณด้วย
  • Alt text ในรูปภาพ: เป็นข้อความแสดงแทนที่ใช้อธิบายรูปภาพในเว็บไซต์ โดยไม่แสดงออกมาให้เห็น มีประโยชน์มากต่อโปรแกรมอ่านหน้าจอที่จะใช้ข้อมูลส่วนนี้แสดงแทนเพื่ออธิบายภาพ รวมถึงบอกให้ Search Engine รู้ด้วยว่ารูปภาพคืออะไร ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับให้หน้าเว็บของคุณ เพราะหน้าเพจนั้นอาจจะไปโผล่ในผลการค้นหารูปภาพของ Google ได้
  • Meta description: หมายถึงคำอธิบายสั้น ๆ ของหน้าเพจบน SERP ซึ่งปรากฏเป็นข้อมูลโค้ดพร้อมกับชื่อหน้าและ URL Meta description ที่ดีจะต้องมีคีย์เวิร์ดสำคัญและอธิบายข้อมูลที่หน้าเว็บให้ถูกต้อง กระชับ และตรงจุด เพื่อสร้างจำนวนคลิกและลดอัตรา Bounce rate ให้ได้มากที่สุด

Off-page SEO 

Off-page SEO หมายถึงกิจกรรมที่ดำเนินการภายนอกเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาของ Search Engine และช่วยสร้งการรับรู้ตัวตนของเว็บไซต์ ธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นแล้วถ้าคุณมีการวางกลยุทธ์ Off-page SEO ที่ดีและครอบคลุมพอ อันดับดี ๆ บน SERPs ก็หนีจากคุณไปไหนไม่ได้แน่นอน!!

มาดูกันว่า Off-page SEO มีปัจจัยส่วนไหนบ้างที่เราต้องรู้ไว้:

  • การสร้างลิงค์: เป็นกระบวนการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์ของเรา อัลกอริทึมของ Google จะอาศัยลิงก์พวกนี้เป็นหลักในการให้คะแนน ดังนั้นแล้วทุกลิงก์ที่คุณได้ ถือเป็นการลงคะแนนเสียงเพื่อสร้างความน่าเชื่อให้เว็บไซต์ของคุณ แต่จำไว้ว่าคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ลิงก์ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
  • การตลาดโซเชียลมีเดีย: การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ เพราะมันคือแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ใช้งาน เพื่อตรวจสอบชื่อเสียงของคุณ การโพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ จะช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้น ยิ่งเนื้อหาของคุณมียอดเข้าชมในวงกว้าง  Search Engine ก็จะเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที
  • การประชาสัมพันธ์ด้วยอินฟลูเอนเซอร์: การสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์หรืออินฟลูเอนเซอร์เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์มาก การตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์จะช่วยรับรองแบรนด์ของคุณได้ดีและดึงดูดผู้เข้าชมใหม่ ๆ มายังเว็บไซต์ของคุณได้ บอกเลยวิธีนี้คุณจะได้รับยอดเข้าชมและเป็นที่รู้จักมากขึ้นแน่นอน
  • ฟอรัม: หน้าฟอรัมเช่น Quora, Reddit และ Stack Overflow เป็นโอกาสในการโปรโมตเว็บไซต์ที่น่าสนใจมาก คุณสามารถมีส่วนร่วมในการสนทนากับผู้ใช้งานโดยตรงได้ ด้วยการตอบคำถาม จุดนี้จะแสดงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือของคุณออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยัง เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าเพจของเว็บไซต์ได้อีกด้วย สร้างยอดผู้เข้าชมได้แบบรัว ๆ 

แม้ว่าการสร้างลิงก์จะเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO นี้ แต่ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นนอกเว็บไซต์ก็ส่งผลต่อ On-off SEO เสมอ จึงไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด

Technical SEO 

Technical SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคนิคให้เว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามเกณฑ์ของอัลกอริทึมของ Search Engine  เช่น เรื่องการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเพจ ความเหมาะสมกับการใช้งานบนมือถือ และโครงสร้างเว็บไซต์

การปรับ SEO ทางเทคนิคให้เหมาะสมจะชี้แนะให้ Search Engine อย่าง Google ตรวจหาและจัดทำดัชนีหน้าเว็บของคุณได้อย่างง่ายดาย และผลที่ได้คือปรับอันดับให้หน้าเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์อยู่สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา

Technical SEO ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงอันดับการค้นหาของคุณ แต่ยังช่วยกำหนด user experience ได้อีกด้วย แน่นอนว่าผู้ใช้และ Search Engine ย่อมอยากเข้าชมเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดี โหลดเร็วและมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว และทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญของ Technical SEO 

ปัจจัยสำคัญของ Technical SEO ที่คุณต้องรู้ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์:

  • Page load speed: เว็บไซต์ใช้เวลาในการโหลดหน้าเว็บนานเกินไปจะมีอัตรา bounce rate สูงขึ้นและทำให้อันดับแย่ลงตาม ขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การแคชเว็บไซต์ การบีบอัดรูปภาพ และการลด redirect หน้าเพจ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วส่วนนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออย่าง GTmetrix และ PageSpeed ​​Insights ที่สามารถนำไปลองใช้เพิ่มความเร็วให้เว็บของคุณได้
  • Schema markup: คือแท็กที่สามารถเพิ่มลงในโค้ด HTML เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น การเพิ่ม Schema markup จะปรับปรุงข้อมูลโค้ดของหน้าเพจในผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น เพิ่มการให้คะแนนหรือบทวิจารณ์แถว ๆ Meta Description เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดยอดการเข้าชมได้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มอัตราการคลิกได้อีกด้วย
  • Internal linking: คือขั้นตอนการแนบไฮเปอร์ลิงก์ที่ชี้ไปยังหน้าอื่นๆ ในโดเมนเดียวกัน การวาง Internal link นี้ จะทำให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Search Engine ค้นหาและจัดทำดัชนีทั้งเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าทำ Internal link ถูกหลัก ก็จะสามารถเพิ่มคะแนน authority ของเพจ ปรับปรุงการนำทาง (navigation) และเพิ่มเวลาการใช้งานในเพจได้
  • XML sitemaps: พูดง่ายๆ ก็คือ แผนผังเว็บไซต์ เป็นการรวบรวม URL ของหน้าเว็บทั้งหมด เพื่อเป็นแผนที่ให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Search Engine เข้าถึงหน้าสำคัญในเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น ยิ่งเดี๋ยวนี้มีตัวช่วยสร้าง XML sitemaps ดี ๆ มากมายให้เลือกใช้ เช่น ปลั๊กอิน Yoast SEO บน WordPress หรือเครื่องมือฟรี อย่าง InSpyder และ Screaming Frog เป็นต้น สะดวกขึ้นเยอะเลย
  • Accelerated Mobile Pages (AMP): เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยทำให้เว็บไซต์เบาขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เวลาในการโหลดสำหรับผู้ใช้งานบนมือถือ เมื่อเปิดใช้งาน AMP Google จะส่งหน้าเว็บของคุณผ่านแคชที่กำหนดไว้ ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น แถม Google ยังใช้ AMP นี้เป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์อีกด้วย
  • SSL certificate: เว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัส SSL จะมี HTTPS บน URL ถือเป็นการระบุว่าทุกข้อมูลที่ถ่ายโอนระหว่างเว็บไซต์และผู้ใช้นั้นจะปลอดภัย 100% เนื่องจาก Google ใช้ HTTPS เป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับ การเปิดใช้งานเจ้าตัวนี้ก็หมายถึงว่าเว็บไซต์ของคุณจะได้รับการจัดอันดับการค้นหาที่สูงขึ้น ยิ่งหากโฮสต์ของคุณมีใบรับรอง SSL ก็มั่นใจได้เลยว่าเว็บไซต์ของจะปลอดภัย 

Local SEO 

Local SEO เป็นกิจกรรมในการปรับปรุงการมองเห็นของธุรกิจในท้องถิ่นบนหน้าผลการค้นหา ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของตนในพื้นที่ที่ให้บริการได้ 

ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เมื่อผู้คนค้นหา “หมอใกล้ฉัน” หรือ “ร้านขายสัตว์เลี้ยงใกล้ฉัน”  Search Engine จะระบุตำแหน่งของพวกเขาผ่านที่อยู่ IP และแสดงผลลัพธ์ตามตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด 

Google นำเสนอผลการค้นหาในท้องถิ่นด้วยแผนที่ก่อน จากนั้นก็เป็นผลการค้นหาในพื้นที่ เช่น เมื่อผู้ใช้ค้นหา “ร้านอาหารในเชียงใหม่” SERP จะแสดงธุรกิจท้องถิ่นพร้อมกับตัวอย่างข้อมูลสถานที่ตั้งใน Google Maps ตามอันดับที่ถูกจัดไว้

ถ้าคุณมีธุรกิจแล้วอยากแสดงผลในผลการค้นหาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ แนะนำเลย Local SEO ซึ่งก็จะมีปัจจัยให้คำนึงถึงหลัก ๆ ดังนี้:

  • Google My Business (GMB): แผนที่ที่แสดงในผลการค้นหาอันดับต้น ๆ ในการค้นหาในท้องถิ่นของ Google ส่วนใหญ่ก็มาจากโปรไฟล์ GMB ทั้งนี้ ที่ต้องทำมีเพียงสร้างบัญชีของตัวเองเท่านั้น อย่าลืมกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ เนื่องจากข้อมูลนี้จะเป็นปัจจัยในการจัดอันดับได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Google ยังจัดอันดับโปรไฟล์ GMB ตามระยะทาง ความโดดเด่น และความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาอีกด้วย 
  • Local keyword research: การใช้คีย์เวิร์ดที่อ้างตามการค้นหาของคนในพื้นที่บนหน้าเพจของคุณจะช่วยเพิ่มอันดับใน SERP ได้ ลองค้นหาคีย์เวิร์ดมาใช้อธิบายถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ มีเครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs ที่สามารถช่วยให้บอกได้ว่าคีย์เวิร์ดคำไหนมีปริมาณการค้นหาและความยากง่ายในการไต่แรงก์มากน้อยยังไง
  • Localized content: เป็นการกำหนดกลุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เนื้อหาที่แปลหรือเขียนให้ตรงตามพื้นที่นั้น ๆ จะช่วยเพิ่มการมองเห็นให้เว็บไซต์ได้ เพราะมันจะตอบสนองความต้องการของผู้ชมเป้าหมายได้ดีกว่า ตั้งแต่บล็อกโพสต์และคำแนะนำไปจนถึงกรณีศึกษา เอาให้แน่ใจว่า คุณเสนอสิ่งที่ดีและเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ของธุรกิจคุณ
  • รีวิวจากลูกค้า: รีวิวจากลูกค้าจะแสดงให้เห็นความน่าเชื่อถือของธุรกิจคุณ และแน่นอนว่า Google เห็น! ดังนั้น คุณต้องเริ่มกระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิว แสดงความเห็น อาจลองส่งอีเมลหรือแจ้งหน้ารีวิวไป เพราะ Google จะพิจารณารีวิวจากลูกค้า แถมยังเป็นผลดีต่อผู้ใช้งานที่อยากรู้จักบริการของคุณด้วย
SEO คืออะไร (3)

การทำSEO ที่ดีที่สุดพิชิตอันดับบน Google หน้าแรก

สิ่งสำคัญคือต้องอาศัยปัจจัย SEO ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ การใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่ถูกต้องและล้าสมัย ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเข้าชมและยอด conversion ได้อีกด้วย

ข้างล่างนี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำ SEO เพื่อให้คุณลองไปทำตาม และเอาชนะคู่แข่งให้ได้ 

Keyword Reseach ให้ครบและครอบคลุม

การทำ Keyword Reseach สำคัญมากต่อการเพิ่มประสิทธิภาพบนเครื่องมือค้นหา มันจะแสดงทุกอย่างตั้งแต่สิ่งที่ผู้คนค้นหาไปจนถึงคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของคุณใช้ไต่แรงก์

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า Keyword Reseach คืออะไร? และต้องทำยังไง?

แต่ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของคีย์เวิร์ด SEO ก่อน:

  • Seed: คีย์เวิร์ดที่ทำหน้าที่เป็นฐานในการขยายเนื้อหา หรือที่เราเรียกว่าคีย์เวิร์ดสำคัญ (focus keyword) คีย์เวิร์ดอาจเป็นคำง่าย ๆ เลย เช่น “กาแฟ” หรือ “SEO คืออะไร”
  • Synonyms: คีย์เวิร์ดที่มีความหมายเหมือนกันแต่เขียนต่างกันและดึงดูดผลการค้นหาที่คล้าย ๆ กัน ตัวอย่างเช่น “วิธีซ่อมหูฟังที่เสีย” กับ “วิธีซ่อมหูฟังที่เสีย” 
  • Long-tail: วลีเฉพาะที่ยาวขึ้น เหมาะกับผลการค้นหาที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปประกอบด้วยคีย์เวิร์ดสามคำขึ้นไป เช่น “สูตรคุกกี้ช็อกโกแลตปราศจากกลูเตน”
  • Semantically-related: คีย์เวิร์ดจำพวกนี้จะมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น “เที่ยวเชียงใหม่” มีความหมายเกี่ยวข้องกับ “เดินทางไปเชียงใหม่” และ “จุดเช็กอินที่ดีที่สุดในเชียงใหม่”

หัวใจสำคัญของการทำ SEO ด้วย Keyword Reseach คือการกำหนดเป้าหมายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบริการของคุณ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่กำลังมองหาสิ่งนั้นอยู่ แต่ก็ต้องคำถึงถึงตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น:

  • Search volume: จำนวนผู้ที่ค้นหาด้วยคำหรือข้อความนั้น ๆ ในสโคปเวลาและพื้นที่ที่กำหนดไว้ 
  • Keyword difficulty: เป็นการแข่งขันของคีย์เวิร์ด เพื่อวัดว่าคีย์เวิร์ดนั้นไต่แรงก์ในผลการค้นหาทั่วไปของ Google ได้ยากง่ายแค่ไหน

โชคดีที่เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs, SEMrush และ Google Keyword Planner เข้ามาช่วยบอกตัวชี้วัดสำคัญ ๆ สองอย่างนี้แล้ว ทำให้การค้นหาคีย์เวิร์ดง่ายขึ้นเยอะเลย

คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงจะดึงดูดยอดการค้นหาแบบออร์แกนิกได้เยอะก็จริง แต่การแข่งขันก็จะสูงตามไปด้วย เพราะการใช้คีย์เวิร์ดเป้าหมายที่มีปริมาณมาก นั่นหมายถึง คุณจะต้องไปแข่งขันกับเว็บไซต์คู่แข่งที่มีคุณภาพและคะแนน Authority แบบสูงลิ่ว

ทั้งนี้แล้ว ใช่ว่าคุณจะหมดหวังไป เพราะยังมี Long-Tail Keyword หรือคีย์เวิร์ดหางยาว ที่แม้จะปริมาณการค้นไม่เยอะ แต่จะมีการแข่งขันน้อยกว่า ทำให้คุณสร้างเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องสูงและตรงความต้องการกว่าให้ผู้ชมของคุณได้ 

คำแนะนำของเราคือ ให้ลองเริ่มที่ใช้ Long-Tail Keyword มาดึงดูดยอดผู้เข้าชมกันก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มสร้างกลยุทธ์คีย์เวิร์ด SEO ของคุณเอง

เคล็ด(ไม่)ลับจากผู้เชี่ยวชาญ

จำให้ขึ้นใจว่า คู่แข่งของคุณคือเว็บไซต์ที่คุณอยากแซงหน้า สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ รู้จักตัวเอง รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมียอดเข้าชมมากน้อยเท่าไหร่ เป็นที่รู้จักในวงกว้างแค่ไหน ถ้าคุณอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว อาจจะลองใช้คีย์เวิร์ดใหม่ ๆ หรือคีย์เวิร์ดที่แตกต่างดู แม้ว่าจะมีปริมาณการค้นหาน้อย แต่จะง่ายต่อการแรงก์มากกว่า 

นอกจากนี้ ถ้าคุณมีบัญชี Google Ads อาจลองเข้าไปเช็กอัตรา pay-per-click สำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ แล้วดูคำที่ราคาสูง มักจะยากต่อการแรงก์และสร้างยอดเข้าชมแบบออร์แกนิก 

สร้างคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Search Intent

อัลกอริทึมของ Search Engine จะนำเสนอผลการค้นหาขั้นสูงให้ผู้ใช้งานตามวัตถุประสงค์ของการค้นหา หรือที่เรียกว่า  Search Intent

อย่างตัวอัลกอริทึมของ Google เองก็ไม่ได้ให้ผู้ใช้งานแค่ผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังคัดกรองเอาผลการค้นหาที่ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้งานมากที่สุดมาให้อีกด้วย

เช่น เมื่อผู้ใช้งานค้นหา “วิธีจับคู่ลำโพงบลูทูธ JBL” Google ก็จะแสดงผลลัพธ์จากหน้าเว็บหรือวิดีโอที่มีคำแนะนำสำหรับวิธีนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการให้ผู้ใช้งานแบบแม่นยำ ตรงจุด แต่ถ้าเมื่อผู้ใช้ค้นหาว่า “ซื้อลำโพงบลูทูธ JBL” Google ก็จะแสดงหน้าร้านอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ ให้แทน

มาดูกันว่าเจ้าอัลกอริทึมการค้นหาตัวนี้มี Search Intent กี่ประเภทในการดึงผลการค้นหาออกมาให้ผู้ใช้งานกัน 

  • Informational: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทราบหรือเรียนรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง Search Intent นี้ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับคำว่า “ทำ…อย่างไร”, “ใครคือ…”, “คืออะไร” เป็นต้น
  • Navigational: ผู้ใช้ที่มีเจตนานี้ส่วนใหญ่ อยากเข้าชมเว็บไซต์ที่ต้องการอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะเข้าถึงเว็บไซต์นั้น ๆ ด้วยการค้นหาผ่าน Google ด้วยคีย์เวิร์ดแทน เช่น เข้าสู่ระบบ Facebook, Spotify เป็นต้น
  • Commercial: ผู้ใช้งานในเจตนาข้อนี้ ส่วนมากจะต้องการหาบทความหรือรีวิว เพื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่าง จะได้ตรวจสอบและเปรียบเทียบแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่าง ๆ ได้ เช่น คำค้นหาที่ว่า “แล็ปท็อปเกมเมอร์มาแรงปี 2023” หรือ “ร้านอาหารยอดนิยมใกล้ฉัน”
  • Transactional: เป้าหมายของผู้ค้นหาใน Search Intent นี้คือ การหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการซื้อ ส่วนใหญ่จะเจอเป็นชื่อแบรนด์ เช่น “ซื้อ Samsung Galaxy S20” หรือ “ขาย Air Jordan Retro” แบบนี้ไปเลย

ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างถ้าอยากไต่แรงก์ในคีย์เวิร์ดคำว่า “ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้า” คุณจะต้องสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับ Search Intent แบบการให้ข้อมูล หรือ Informational ที่จะเน้นไปที่การตอบคำถามเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า หรือเคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใส เป็นต้น

ซึ่งมันก็จะแตกต่างจากเวลาที่คุณต้องการจะไต่แรงก์ด้วยคีย์เวิร์ดที่ว่า “กล้องที่ดีที่สุดสำหรับการสตรีมเกม” ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเป็นคอนเทนต์เรียก Search Intent แบบ Commercial ที่ต้องการเปรียบเทียบกล้องที่ดีที่สุดสำหรับการสตรีมเกม 

เพราะแบบนี้การจัดทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Search Intent จึงเป็นหนึ่งในการทำ SEO ที่ดีที่สุด สิ่งที่คุณต้องทำคือ ต้องรู้ว่ากลุ่มผู้เข้าชมต้องการหาคำตอบแบบไหน แล้วเขียนให้คำตอบที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับพวกเขาให้ได้มากที่สุด

ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายใน Title Tags เสมอ

Title Tags มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก ๆ เพราะเป็นส่วนที่ให้คอยบอกผู้ใช้งานว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นประมาณไหนและช่วยดึงดูดให้พวกเขาคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ได้ 

ส่วนใหญ่ผู้ใช้งานจะต้องการค้นหาหน้าเว็บที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของพวกเขา เลยเป็นเหตุผลที่ Google คอยแนะนำให้คุณอย่าลืมเขียน Title Tag ที่มีคีย์เวิร์ด รวมถึงเขียนให้กระชับ ตรงจุดและเข้าใจภาพรวมได้ 

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเพิ่มคีย์เวิร์ดเป้าหมายเข้าไปใน Title Tag แล้ว Search Engine ก็จะมองเห็นคุณชัดขั้น แล้วเรียกคุณให้ไปแสดงในอันดับที่สูงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 

คีย์สำคัญคือการวางคีย์เวิร์ดนั้นไว้ในช่วงต้นของ Title Tag เสมอ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Search Engine รู้ได้ว่าหน้าเพจนี้เกี่ยวกับอะไร อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขียน Title Tag อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ยัดคีย์เวิร์ดจนดูไม่งาม เดี๋ยว Google ลงโทษเอา ไม่รู้ด้วยล่ะ!!

นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพให้ Title Tag แล้ว ก็อย่าลืมทำให้ Meta Description ด้วย ตัวนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลย เพราะมันจะสะท้อนให้เห็นว่าเนื้อหาข้างในเพจนั้นกำลังจะพูดเกี่ยวกับอะไร และก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ใช้ดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาด้วย ดูให้ดีว่าส่วนนี้มีคีย์เวิร์ดสำคัญรึยัง ไม่มีก็ใส่ให้เรียบร้อย เขียนให้น่าสนใจ และมีความไม่เกิน 150 ตัวอักษร จะดีมากเลย

ถ้าคุณใช้ WordPress แนะนำเลย ปลั๊กอิน Yoast SEO มันจะช่วยให้คำแนะนำการเขียน Title Tag และ Meta Description แถมยังมีฟีเจอร์ “preview” ไว้ให้ดูตัวอย่างหน้าเพจก่อนเผยแพร่จริงอีกด้วย 

เคล็ด(ไม่)ลับจากผู้เชี่ยวชาญ

ปลั๊กอิน SEO ดีมาก มันจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ให้เรา เพียงแค่ป้อนคีย์เวิร์ดสำคัญเข้าไป จากนั้นระบบจะวิเคราะห์เนื้อหาของคุณและให้คำแนะนำเป็นข้อ ๆ มาเลยว่าทำยังไงบ้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีที่สุด

รับ Backlink จากเว็บไซต์ดี ๆ 

ถ้าคุณได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าอัลกอริทึมของ Google ให้คะแนนความน่าเชื่อถือหรือ Authority กับเว็บไซต์ของคุณอย่างงาม จำไว้ว่าปริมาณไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น ควรอยู่จำนวนที่พอดี เพราะถ้าคุณได้รับ Backlink มาจนเกินไป ก็จะส่งผลเสียและถูกมองว่ามาจากเว็บสแปมได้ ทีนี้คะแนนความน่าเชื่อที่คุณสั่งสมมาก็จะถูกทำลายลง ดังนั้น แทนที่จะไปเน้นเรื่องปริมาณ ลองหันมารับ Backlink คุณภาพสูงในจำนวนพอดี ก็จะช่วยจัดอันดับ SEO ของคุณได้ดีขึ้นยิ่งกว่า 

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ SEO สำหรับการสร้าง Backlink คุณภาพดีให้ลิงก์มาหาเว็บไซต์ของคุณ:

  • เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ: เนื้อหาที่ครอบคลุมและให้ข้อมูลถูกต้องจะช่วยให้เว็บไซต์อื่น ๆ มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณค่ามากพอให้ลิงก์มาหา
  • Guest blogging: การเขียนบล็อกโพสต์ให้เว็บไซต์อื่น จะทำให้เราได้รับ Backlink จากเว็บไซต์เหล่านั้น แถมยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ เปิดรับผู้ชมใหม่ ๆ ที่กว้างขึ้น และเพิ่มยอดการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้มากขึ้นอีกด้วย
  • วิเคราะห์ Backlink ของคู่แข่ง: การจับตาดูคู่แข่งให้ดีจะทำให้เรารู้ว่าเว็บไซต์ไหนบ้างที่สามารถให้ Backlink กับเราได้ มีเครื่องมือมากมาย เช่น Monitor Backlinks และ Ahrefs Link Intersect ที่พร้อมจะช่วยตรวจสอบโอกาสในการสร้าง backlink นี้
  • การสร้างลิงค์เสีย: ข้อนี้เป็นเทคนิค SEO ที่จะค้นหา HTML 404 errors บนเว็บไซต์และแจ้งให้เจ้าของทราบ จากนั้นแนะนำให้พวกเขาเปลี่ยนลิงก์เสียเหล่านั้นเป็นลิงก์จากเว็บไซต์ของคุณแทน ลองใช้ Ahrefs Broken Link Checker เข้ามาช่วยสำรวจหาลิงก์เสียบนเว็บต่าง ๆ ดู

เคล็ด(ไม่)ลับจากผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ เราอยากแนะนำให้ลองคันหาคีย์เวิร์ดที่อยากแรงก์ดู จากนั้นดูที่ผลการค้นหา 100 รายการแรก แล้วหาหน้าเว็บที่พอมีโอกาสไปวางลิงก์จากเว็บไซต์ของเรา อาจเป็นโพสต์ในฟอรัมหรือบล็อกก็ได้ ให้ลองติดต่อเจ้าของบล็อกเหล่านั้นเพื่อขอฝากโพสต์ที่แนบลิงก์ของเราบนเว็บของพวกเขา แต่ถ้าคุณเป็นเว็บไซต์ที่เน้นกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่น ให้มองหาเว็บไดเร็กทอรีในพื้นที่ของคุณดู เวิร์กแน่นอน

เตรียมพร้อมกับอัลกอริทึมใหม่

Google แนะนำอัลกอริทึมการค้นหาใหม่ที่เรียกว่า  page experience หมายถึงชุดสัญญาณที่วัดจาก user experience ที่มีต่อหน้าเว็บเพจ

Page experience มีปัจจัย SEO ต่าง ๆ เช่น mobile-friendliness, ความปลอดภัยของเว็บไซต์ และความเร็วของเพจ นอกจากนี้ยังใช้ Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดตัวชี้วัดที่ใช้วัดการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพของเว็บไซต์ มีดังนี้:

  • Largest Contentful Paint (LCP) – รายงานระยะเวลาที่จำเป็นสำหรับการโหลดเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดของเพจ เช่น รูปภาพและวิดีโอ และเวลาการโหลดที่เหมาะสมที่สุดคือ 2.5 วินาที
  • First Input Delay (FID) – เวลาที่ผู้ใช้งานโต้ตอบกับเพจเป็นครั้งแรก เช่น การคลิกลิงก์หรือแตะปุ่ม หรือตอนที่เบราว์เซอร์ประมวลผลคำขอ  FID ที่แนะนำคือต้องน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
  • Cumulative Layout Shift (CLS)– การเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ที่ไม่คาดคิดบนเพจระหว่างขั้นตอนการโหลด ป้องกันไม่ให้ผู้เข้าชมคลิกเปลี่ยนตำแหน่งกะทันหัน คะแนน CLS ที่ดีควรน้อยกว่า 0.1

ตอนนี้หลายคนก็ทราบแล้วว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมการค้นหา ต่อไปนี้คือเคล็ดลับการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับการอัปเดตครั้งใหม่:

  • ตรวจหาและแก้ไขปัญหาการใช้งาน: การใช้งาน ณ จุดนี้ คือความสะดวกในการใช้งานของเว็บไซต์ ใช้เครื่องมือเช่น Crazy Egg และ Hotjar เพื่อเรียนรู้ว่าผู้เข้าชมมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของคุณยังไงบ้าง เครื่องมือพวกนี้จะบอกว่ามีส่วนไหนได้รับความสนใจมากที่สุดและส่วนไหนติดขัด เพื่อช่วยให้คุณปรับปรุงโครงสร้างหน้าและมอบ user experience ที่ดีขึ้น
  • เปิดใช้งานบราวเซอร์ที่ปลอดภัย: Google จะกำจัดเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตรายออกจากผลการค้นหา เพื่อให้ผู้เข้าชมไม่เจอเนื้อหาที่เป็นอันตรายและหลอกลวง คุณจึงต้องมี Google Search Console เพื่อดูรายงานปัญหาด้านความปลอดภัย จะได้มั่นใจว่าหน้าเว็บจะไม่มีปัญหาใดๆ แถมยังช่วยตรวจจับเนื้อหาที่ถูกแฮ็ก มัลแวร์ และการโจมตีแบบฟิชชิ่งอีกด้วย
  • ปรับให้เหมาะสมกับมือถือ: การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์จะทำให้องค์ประกอบของเว็บไซต์พอดีกับขนาดหน้าจอต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ และให้ผู้เข้าชมใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่เดสก์ท็อปไปจนถึงสมาร์ทโฟน อาจลองใช้เลย์เอาต์แบบไหล หรือเอาป๊อปอัปที่ต้องเปิดหน้าต่างใหม่ออกไป 

เคล็ด(ไม่)ลับจากผู้เชี่ยวชาญ

คนส่วนใหญ่เข้าใจ Core Web Vitals ผิดไป ความจริงแล้วมันไม่ได้มีบทบาทในอัลกอริทึมมากขนาดนั้น

แน่นอนว่ามันสำคัญอยู่และช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นได้ แต่ถ้ากลยุทธ์ SEO ของคุณไม่ดี เนื้อหาไม่มีคุณภาพ ไม่เหมาะกับ SEO การมี Core Web Vitals ที่สมบูรณ์แบบและคะแนนเต็ม 100 ใน PageSpeed ​​Insights ก็เปล่าประโยชน์

ทำไม SEO ถึงสำคัญ

ทุกวันนี้ Organic search เป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์อย่างปฏิเสธไม่ได้ การเข้าชมแบบออร์แกนิกมีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนจากเพียงแค่ผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นผู้ซื้อหรือเป็นสมาชิกของธุรกิจของคุณ

แต่อย่างที่รู้ว่า การเพิ่มยอดเข้าชมแบบออร์แกนิกให้เว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่จึงเป็นที่มาของ SEO เพราะคุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์และเพจของคุณให้เหมาะกับเกณฑ์ต่าง ๆ ของอัลกอริทึมการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

SEO มีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มการมองเห็นให้เว็บไซต์บน Search Engine ยิ่งอันดับของคุณสูงเท่าไร เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งได้รับการเข้าชมมากขึ้นเท่านั้น

เหมาะมากกับธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ การทำ SEO สามารถทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายและรายได้ของคุณได้จริง

นอกจากนั้น อัลกอริทึมของ Google ยังใช้ปัจจัย SEO มาตัดสินจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาอีกด้วย

หากคุณอยากให้เว็บไซต์ได้ตำแหน่งบนสุดของหน้าผลลัพธ์ของ Search Engine คำตอบคือ ทำ SEO มันสามารถช่วยสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้แบรนด์หรือธุรกิจของคุณได้ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง

แหล่งเรียนรู้ SEO ที่อยากแนะนำ

ก่อนอื่นต้องรู้ไว้ว่า SEO ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก นอกจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของ SEO แล้ว แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับสร้างพื้นฐานการตลาดดิจิทัลและวิธีการทำงานของ Search Engine ก็สำคัญไม่แพ้กัน เรารวบรวมมาให้แล้ว ดังนี้

  • Google Webmaster Central: มีบทความเกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google รวมถึงพวกเอกสารประกอบเกี่ยวกับปัจจัย SEO ล่าสุด แนวโน้มและแนวปฏิบัติ SEO และคุณลักษณะการค้นหาของ Google แบบใหม่
  • Ahrefs: บทความของ Ahrefs มีคำแนะนำและเกี่ยวกับ SEO และการตลาดมากมาย แถมยังมีเนื้อหาที่สดใหม่ เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และผู้ปฏิบัติงานด้านการตลาดที่น่าเชื่อถือ
  • MOZ: นอกจากจะให้บริการเครื่องมือและซอฟต์แวร์ SEO แล้ว Moz ยังมีบทความและแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ SEO ครบทุกอย่าง ตั้งแต่คำแนะนำ SEO จากผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงข้อมูลการตลาดล่าสุดและข้อมูลเชิงลึกเพื่อยกระดับทักษะทางการตลาด 
  • Search Engine Journal: แพลตฟอร์มออนไลน์ที่นำเสนอข่าวสาร SEO อัปเดตล่าสุด มีบทวิเคราะห์ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและ SEO เคล็ดลับการทำ SEO สำหรับผู้เริ่มต้น ไปจนถึงกลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติเชิงลึก นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังมีแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น eBooks, podcasts และ webinars ให้เลือกอ่านอีกเพียบ
  • Search Engine Roundtable: เว็บไซต์นี้รวบรวมหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ SEO แบบละเอียดยิบ ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลจากฟอรัมต่างๆ ในหัวข้อ SEO ล่าสุดได้ครบ จบในที่เดียว
  • Backlinko: มีฝึกอบรม SEO และกลยุทธ์การสร้างลิงก์ต่าง ๆ  Backlinko เป็นบล็อกการตลาดยอดนิยมที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อช่วยให้ธุรกิจออนไลน์เติบโต เนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคำแนะนำ เคล็ดลับ เทคนิค และกรณีศึกษาเกี่ยวกับ SEO ที่น่าสนใจ

บทสรุปส่งท้าย

จากที่อ่านมาทั้งหมด แน่นอนว่ามันอาจจะเยอะและยุ่งยาก แต่ความคุ้มค่าและผลลัพธ์ที่ได้จากกลยุทธ์ SEO ที่ทำอย่างต่อเนื่องนั้นไม่เคยหักหลังความพยายามของใคร เรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอด เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม คือสิ่งที่เราอยากให้คุณทำ หรือจะจ้างทีมงานเรา รับทำ SEO ให้ติดหน้าแรก ให้ครบจบที่เดียวกับ AsiaSearch.co.th ก็ได้เช่นกัน

เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างดีย่อมมีโอกาสปรากฏในหน้าผลการค้นหาอันดับต้น ๆ และเพิ่มยอดเข้าชมได้แน่นอน

สรุปการทำ SEO 4 ประเภทหลัก ๆ ที่พูดถึงก่อนหน้านี้:

  • On-page SEO – เน้นไปที่เนื้อหาบนหน้าเว็บ เช่น รูปภาพ alt Title และ Meta Description
  • Off-page SEO – เป็นกิจกรรมนอกเว็บไซต์ เช่น การสร้างลิงก์ การตลาดแบบขยายงาน และ Guest Post
  • Technical SEO – เทคนิค SEO ต่าง ๆ เช่น ความเร็วในการโหลด ความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งานบนอุปกรณ์ต่าง ๆ 
  • Local SEO – กลยุทธ์ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์และการรับรู้บริการของคุณจากกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่

มาถึงตรงนี้ หวังว่าคุณจะมีเข้าใจการทำ SEO ชัดเจนขึ้นและนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของตัวเองได้

จำไว้ว่า SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประโยชน์ในระยะยาว มีการเปลี่ยนแปลงและการอัปเดตใหม่ ๆ ตลอด ดังนั้นคุณต้องปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณอยู่เสมอให้ทันโลกและอัลกอริทึมของ Search Engine ต่าง ๆ  

Share: