SEO คืออะไร SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือการเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ที่หลายคนอาจคุ้นกันในชื่อเครื่องมือค้นหา เช่น Google ที่เรามักใช้ค้นหาอะไรก็ตามที่เราต้องการ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมให้แก่เว็บไซต์แบบออร์แกนิก โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ Ads
SEO ยังเป็นกลยุทธ์การตลาดที่น่าเชื่อถือและไม่ต้องใช้งบเยอะก็สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชม รวมถึงสร้าง Conversion ได้
การทำ SEO เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติมโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเข้ามาปรึกษาการทำ SEO ให้กับธุรกิจของคุณกับ ผู้ให้บริการ Digital Agency กับเราได้เลย บริการรับทำ SEO คุณภาพ ให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกใน Google เรามีประสบการณ์ด้าน SEO มามากกว่า 10 ปี
เพื่อให้คุณเข้าใจ SEO มากขึ้น บทความนี้เราจะมาพูดถึง SEO กันแบบละเอียดยิบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ วิธีการทำงานของ SEO รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการแรงก์ เพื่อให้คุณสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปปรับปรุงเว็บไซต์จนสามารรถไต่อันดับในเครื่องมือค้นหาได้ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย
ระหว่าง Search engine optimization (SEO) กับ Search engine marketing (SEM) ต่างก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้เพื่อเข้าถึงผู้ชมผ่านผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาทั้งคู่
แต่ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด ๆ SEO คืออะไร คือ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมเพื่อให้ได้อันดับดีขึ้นผ่านการเข้าชมแบบออร์แกนิกหรือไม่เสียเงินซื้อ Ads ว่ากันง่าย ๆ คือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing เห็นเว็บไซต์ในหน้าแรกของผลการค้นหา แล้วก็คลิกเข้ามาเลย
ส่วน SEM จะเป็นกลยุทธ์แบบเสียเงินเพื่อเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ผู้เข้าชมจะมาจากการคลิกโฆษณาที่สร้างไว้บน Google Ads หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ
ทั้งนี้แล้ว SEO ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อให้ได้ผลที่สม่ำเสมอและยั่งยืน แต่ SEM ได้ผลทันที หรือรอไม่นานเท่า แถมยังเห็นได้เลยว่าโฆษณาของคุณสร้างจำนวนคลิกและ Conversion ได้มากน้อยยังไงในเครื่องมือค้นหา
ถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่ SEO และ SEM ก็ทำงานร่วมกันได้ เพราะการจะสร้างกลยุทธ์ SEM ที่ดีได้ก็ต้องมีพื้นฐาน SEO ให้ดีก่อนนั่นเอง
การเพิ่มประสิทธิภาพหน้า Landing Page ด้วยคีย์เวิร์ดสามารถปรับปรุงคะแนนคุณภาพและเพิ่มการมองเห็นบน Google ให้เว็บไซต์ของคุณได้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเรามากกว่ากัน?
ในฐานะเครื่องมือค้นหาทั่วไป Google ประมวลผลการค้นหากว่า 6.5 พันล้านรายการต่อวัน ดังนั้น อันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google จึงมีศักยภาพในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณอย่างมากเลยทีเดียว
นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องให้ความสนใจปัจจัยการจัดอันดับของ Google ต่าง ๆ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีการพัฒนาอยู่ตลอด ไปพร้อม ๆ กับอัลกอริทึมการค้นหาของ Google เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุด และเป็นผลดีต่อประสบการณ์การใช้งาน
ตั้งแต่เวลาในการโหลดหน้าเว็บไปจนถึงเรื่องความปลอดภัยของเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือปัจจัยการจัดอันดับที่คุณต้องจับตามอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้:
Google และ Search Engine อื่น ๆ ทำงานเพื่อรวบรวม จัดระเบียบ และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบคำถามของผู้ใช้งาน เพื่อทำงานให้ดีพวกเขาจะต้องผ่านกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ได้แก่:
กลยุทธ์ SEO จะปรับปรุงการแสดงเว็บไซต์ด้วยการทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้นในสายตาของ Search Engine พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำงานเพื่อพิจารณาว่าเว็บไซต์ของคุณดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการจัดอันดับได้ดีหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ปรับปรุงโครงสร้าง internal link บนหน้าเว็บให้ดี เพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บสามารถข้ามจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้ง่ายขึ้น ช่วยให้พวกเขาสำรวจเว็บไซต์ของคุณในเชิงลึกและจัดทำดัชนีเนื้อหาของคุณได้มากขึ้น (เรียนรู้เพิ่มเติม Anchor Text คืออะไร? และมีกี่ประเภท )
หรือบางครั้งถ้าหากไม่อยากให้สำรวจหน้าไหน ก็สามารถบล็อกบอทโดยใช้ไฟล์ robot.txt ได้
นอกจากนี้ อัลกอริทึมของ Search Engine ยังพิจารณาปัจจัยการจัดอันดับอย่างครอบคลุม เช่น คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง คุณภาพของ Backlink และความสดใหม่ของเนื้อหา
ดังนั้น หากจะเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์ คุณต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็สามารถเพิ่มผลลัพธ์การค้นหาของคุณได้แล้ว
SEO มีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้:
On-page SEO หมายถึงกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพของแต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์ การทำ SEO ประเภทนี้จะเน้นไปที่เนื้อหาของหน้าเพจและโค้ด HTML รวมถึงแท็กชื่อ title tags, header tags และ meta description เพื่อให้ดึงดูดผู้ใช้เว็บและโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ Search Engine
On-page SEO ยังช่วยจัดระเบียบหน้าเพจของคุณเพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บของ Search Engine สามารถวิเคราะห์ความเกี่ยวของเนื้อหาและจัดทำดัชนีสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องได้อย่างง่ายดาย
เพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ On-page SEO มันก็พอมีแนวทางให้ทำตามอยู่หลัก ๆ ดังนี้
Off-page SEO หมายถึงกิจกรรมที่ดำเนินการภายนอกเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาของ Search Engine และช่วยสร้งการรับรู้ตัวตนของเว็บไซต์ ธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นแล้วถ้าคุณมีการวางกลยุทธ์ Off-page SEO ที่ดีและครอบคลุมพอ อันดับดี ๆ บน SERPs ก็หนีจากคุณไปไหนไม่ได้แน่นอน!!
มาดูกันว่า Off-page SEO มีปัจจัยส่วนไหนบ้างที่เราต้องรู้ไว้:
แม้ว่าการสร้างลิงก์จะเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO นี้ แต่ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นนอกเว็บไซต์ก็ส่งผลต่อ On-off SEO เสมอ จึงไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด
Technical SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคนิคให้เว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามเกณฑ์ของอัลกอริทึมของ Search Engine เช่น เรื่องการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเพจ ความเหมาะสมกับการใช้งานบนมือถือ และโครงสร้างเว็บไซต์
การปรับ SEO ทางเทคนิคให้เหมาะสมจะชี้แนะให้ Search Engine อย่าง Google ตรวจหาและจัดทำดัชนีหน้าเว็บของคุณได้อย่างง่ายดาย และผลที่ได้คือปรับอันดับให้หน้าเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์อยู่สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา
Technical SEO ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงอันดับการค้นหาของคุณ แต่ยังช่วยกำหนด user experience ได้อีกด้วย แน่นอนว่าผู้ใช้และ Search Engine ย่อมอยากเข้าชมเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดี โหลดเร็วและมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว และทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญของ Technical SEO
ปัจจัยสำคัญของ Technical SEO ที่คุณต้องรู้ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์:
Local SEO เป็นกิจกรรมในการปรับปรุงการมองเห็นของธุรกิจในท้องถิ่นบนหน้าผลการค้นหา ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของตนในพื้นที่ที่ให้บริการได้
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เมื่อผู้คนค้นหา “หมอใกล้ฉัน” หรือ “ร้านขายสัตว์เลี้ยงใกล้ฉัน” Search Engine จะระบุตำแหน่งของพวกเขาผ่านที่อยู่ IP และแสดงผลลัพธ์ตามตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
Google นำเสนอผลการค้นหาในท้องถิ่นด้วยแผนที่ก่อน จากนั้นก็เป็นผลการค้นหาในพื้นที่ เช่น เมื่อผู้ใช้ค้นหา “ร้านอาหารในเชียงใหม่” SERP จะแสดงธุรกิจท้องถิ่นพร้อมกับตัวอย่างข้อมูลสถานที่ตั้งใน Google Maps ตามอันดับที่ถูกจัดไว้
ถ้าคุณมีธุรกิจแล้วอยากแสดงผลในผลการค้นหาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ แนะนำเลย Local SEO ซึ่งก็จะมีปัจจัยให้คำนึงถึงหลัก ๆ ดังนี้:
สิ่งสำคัญคือต้องอาศัยปัจจัย SEO ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ การใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่ถูกต้องและล้าสมัย ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเข้าชมและยอด conversion ได้อีกด้วย
ข้างล่างนี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำ SEO เพื่อให้คุณลองไปทำตาม และเอาชนะคู่แข่งให้ได้
การทำ Keyword Reseach สำคัญมากต่อการเพิ่มประสิทธิภาพบนเครื่องมือค้นหา มันจะแสดงทุกอย่างตั้งแต่สิ่งที่ผู้คนค้นหาไปจนถึงคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของคุณใช้ไต่แรงก์
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า Keyword Reseach คืออะไร? และต้องทำยังไง?
แต่ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของคีย์เวิร์ด SEO ก่อน:
หัวใจสำคัญของการทำ SEO ด้วย Keyword Reseach คือการกำหนดเป้าหมายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบริการของคุณ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่กำลังมองหาสิ่งนั้นอยู่ แต่ก็ต้องคำถึงถึงตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น:
โชคดีที่เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs, SEMrush และ Google Keyword Planner เข้ามาช่วยบอกตัวชี้วัดสำคัญ ๆ สองอย่างนี้แล้ว ทำให้การค้นหาคีย์เวิร์ดง่ายขึ้นเยอะเลย
คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงจะดึงดูดยอดการค้นหาแบบออร์แกนิกได้เยอะก็จริง แต่การแข่งขันก็จะสูงตามไปด้วย เพราะการใช้คีย์เวิร์ดเป้าหมายที่มีปริมาณมาก นั่นหมายถึง คุณจะต้องไปแข่งขันกับเว็บไซต์คู่แข่งที่มีคุณภาพและคะแนน Authority แบบสูงลิ่ว
ทั้งนี้แล้ว ใช่ว่าคุณจะหมดหวังไป เพราะยังมี Long-Tail Keyword หรือคีย์เวิร์ดหางยาว ที่แม้จะปริมาณการค้นไม่เยอะ แต่จะมีการแข่งขันน้อยกว่า ทำให้คุณสร้างเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องสูงและตรงความต้องการกว่าให้ผู้ชมของคุณได้
คำแนะนำของเราคือ ให้ลองเริ่มที่ใช้ Long-Tail Keyword มาดึงดูดยอดผู้เข้าชมกันก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มสร้างกลยุทธ์คีย์เวิร์ด SEO ของคุณเอง
จำให้ขึ้นใจว่า คู่แข่งของคุณคือเว็บไซต์ที่คุณอยากแซงหน้า สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ รู้จักตัวเอง รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมียอดเข้าชมมากน้อยเท่าไหร่ เป็นที่รู้จักในวงกว้างแค่ไหน ถ้าคุณอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว อาจจะลองใช้คีย์เวิร์ดใหม่ ๆ หรือคีย์เวิร์ดที่แตกต่างดู แม้ว่าจะมีปริมาณการค้นหาน้อย แต่จะง่ายต่อการแรงก์มากกว่า
นอกจากนี้ ถ้าคุณมีบัญชี Google Ads อาจลองเข้าไปเช็กอัตรา pay-per-click สำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ แล้วดูคำที่ราคาสูง มักจะยากต่อการแรงก์และสร้างยอดเข้าชมแบบออร์แกนิก
อัลกอริทึมของ Search Engine จะนำเสนอผลการค้นหาขั้นสูงให้ผู้ใช้งานตามวัตถุประสงค์ของการค้นหา หรือที่เรียกว่า Search Intent
อย่างตัวอัลกอริทึมของ Google เองก็ไม่ได้ให้ผู้ใช้งานแค่ผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังคัดกรองเอาผลการค้นหาที่ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้งานมากที่สุดมาให้อีกด้วย
เช่น เมื่อผู้ใช้งานค้นหา “วิธีจับคู่ลำโพงบลูทูธ JBL” Google ก็จะแสดงผลลัพธ์จากหน้าเว็บหรือวิดีโอที่มีคำแนะนำสำหรับวิธีนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการให้ผู้ใช้งานแบบแม่นยำ ตรงจุด แต่ถ้าเมื่อผู้ใช้ค้นหาว่า “ซื้อลำโพงบลูทูธ JBL” Google ก็จะแสดงหน้าร้านอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ ให้แทน
มาดูกันว่าเจ้าอัลกอริทึมการค้นหาตัวนี้มี Search Intent กี่ประเภทในการดึงผลการค้นหาออกมาให้ผู้ใช้งานกัน
ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างถ้าอยากไต่แรงก์ในคีย์เวิร์ดคำว่า “ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้า” คุณจะต้องสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับ Search Intent แบบการให้ข้อมูล หรือ Informational ที่จะเน้นไปที่การตอบคำถามเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า หรือเคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใส เป็นต้น
ซึ่งมันก็จะแตกต่างจากเวลาที่คุณต้องการจะไต่แรงก์ด้วยคีย์เวิร์ดที่ว่า “กล้องที่ดีที่สุดสำหรับการสตรีมเกม” ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเป็นคอนเทนต์เรียก Search Intent แบบ Commercial ที่ต้องการเปรียบเทียบกล้องที่ดีที่สุดสำหรับการสตรีมเกม
เพราะแบบนี้การจัดทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Search Intent จึงเป็นหนึ่งในการทำ SEO ที่ดีที่สุด สิ่งที่คุณต้องทำคือ ต้องรู้ว่ากลุ่มผู้เข้าชมต้องการหาคำตอบแบบไหน แล้วเขียนให้คำตอบที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับพวกเขาให้ได้มากที่สุด
Title Tags มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก ๆ เพราะเป็นส่วนที่ให้คอยบอกผู้ใช้งานว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นประมาณไหนและช่วยดึงดูดให้พวกเขาคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ได้
ส่วนใหญ่ผู้ใช้งานจะต้องการค้นหาหน้าเว็บที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของพวกเขา เลยเป็นเหตุผลที่ Google คอยแนะนำให้คุณอย่าลืมเขียน Title Tag ที่มีคีย์เวิร์ด รวมถึงเขียนให้กระชับ ตรงจุดและเข้าใจภาพรวมได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเพิ่มคีย์เวิร์ดเป้าหมายเข้าไปใน Title Tag แล้ว Search Engine ก็จะมองเห็นคุณชัดขั้น แล้วเรียกคุณให้ไปแสดงในอันดับที่สูงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
คีย์สำคัญคือการวางคีย์เวิร์ดนั้นไว้ในช่วงต้นของ Title Tag เสมอ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Search Engine รู้ได้ว่าหน้าเพจนี้เกี่ยวกับอะไร อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขียน Title Tag อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ยัดคีย์เวิร์ดจนดูไม่งาม เดี๋ยว Google ลงโทษเอา ไม่รู้ด้วยล่ะ!!
นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพให้ Title Tag แล้ว ก็อย่าลืมทำให้ Meta Description ด้วย ตัวนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลย เพราะมันจะสะท้อนให้เห็นว่าเนื้อหาข้างในเพจนั้นกำลังจะพูดเกี่ยวกับอะไร และก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ใช้ดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาด้วย ดูให้ดีว่าส่วนนี้มีคีย์เวิร์ดสำคัญรึยัง ไม่มีก็ใส่ให้เรียบร้อย เขียนให้น่าสนใจ และมีความไม่เกิน 150 ตัวอักษร จะดีมากเลย
ถ้าคุณใช้ WordPress แนะนำเลย ปลั๊กอิน Yoast SEO มันจะช่วยให้คำแนะนำการเขียน Title Tag และ Meta Description แถมยังมีฟีเจอร์ “preview” ไว้ให้ดูตัวอย่างหน้าเพจก่อนเผยแพร่จริงอีกด้วย
ปลั๊กอิน SEO ดีมาก มันจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ให้เรา เพียงแค่ป้อนคีย์เวิร์ดสำคัญเข้าไป จากนั้นระบบจะวิเคราะห์เนื้อหาของคุณและให้คำแนะนำเป็นข้อ ๆ มาเลยว่าทำยังไงบ้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีที่สุด
ถ้าคุณได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าอัลกอริทึมของ Google ให้คะแนนความน่าเชื่อถือหรือ Authority กับเว็บไซต์ของคุณอย่างงาม จำไว้ว่าปริมาณไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น ควรอยู่จำนวนที่พอดี เพราะถ้าคุณได้รับ Backlink มาจนเกินไป ก็จะส่งผลเสียและถูกมองว่ามาจากเว็บสแปมได้ ทีนี้คะแนนความน่าเชื่อที่คุณสั่งสมมาก็จะถูกทำลายลง ดังนั้น แทนที่จะไปเน้นเรื่องปริมาณ ลองหันมารับ Backlink คุณภาพสูงในจำนวนพอดี ก็จะช่วยจัดอันดับ SEO ของคุณได้ดีขึ้นยิ่งกว่า
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ SEO สำหรับการสร้าง Backlink คุณภาพดีให้ลิงก์มาหาเว็บไซต์ของคุณ:
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ เราอยากแนะนำให้ลองคันหาคีย์เวิร์ดที่อยากแรงก์ดู จากนั้นดูที่ผลการค้นหา 100 รายการแรก แล้วหาหน้าเว็บที่พอมีโอกาสไปวางลิงก์จากเว็บไซต์ของเรา อาจเป็นโพสต์ในฟอรัมหรือบล็อกก็ได้ ให้ลองติดต่อเจ้าของบล็อกเหล่านั้นเพื่อขอฝากโพสต์ที่แนบลิงก์ของเราบนเว็บของพวกเขา แต่ถ้าคุณเป็นเว็บไซต์ที่เน้นกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่น ให้มองหาเว็บไดเร็กทอรีในพื้นที่ของคุณดู เวิร์กแน่นอน
Google แนะนำอัลกอริทึมการค้นหาใหม่ที่เรียกว่า page experience หมายถึงชุดสัญญาณที่วัดจาก user experience ที่มีต่อหน้าเว็บเพจ
Page experience มีปัจจัย SEO ต่าง ๆ เช่น mobile-friendliness, ความปลอดภัยของเว็บไซต์ และความเร็วของเพจ นอกจากนี้ยังใช้ Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดตัวชี้วัดที่ใช้วัดการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพของเว็บไซต์ มีดังนี้:
ตอนนี้หลายคนก็ทราบแล้วว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมการค้นหา ต่อไปนี้คือเคล็ดลับการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับการอัปเดตครั้งใหม่:
คนส่วนใหญ่เข้าใจ Core Web Vitals ผิดไป ความจริงแล้วมันไม่ได้มีบทบาทในอัลกอริทึมมากขนาดนั้น
แน่นอนว่ามันสำคัญอยู่และช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นได้ แต่ถ้ากลยุทธ์ SEO ของคุณไม่ดี เนื้อหาไม่มีคุณภาพ ไม่เหมาะกับ SEO การมี Core Web Vitals ที่สมบูรณ์แบบและคะแนนเต็ม 100 ใน PageSpeed Insights ก็เปล่าประโยชน์
ทุกวันนี้ Organic search เป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์อย่างปฏิเสธไม่ได้ การเข้าชมแบบออร์แกนิกมีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนจากเพียงแค่ผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นผู้ซื้อหรือเป็นสมาชิกของธุรกิจของคุณ
แต่อย่างที่รู้ว่า การเพิ่มยอดเข้าชมแบบออร์แกนิกให้เว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่จึงเป็นที่มาของ SEO เพราะคุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์และเพจของคุณให้เหมาะกับเกณฑ์ต่าง ๆ ของอัลกอริทึมการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
SEO มีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มการมองเห็นให้เว็บไซต์บน Search Engine ยิ่งอันดับของคุณสูงเท่าไร เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งได้รับการเข้าชมมากขึ้นเท่านั้น
เหมาะมากกับธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ การทำ SEO สามารถทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายและรายได้ของคุณได้จริง
นอกจากนั้น อัลกอริทึมของ Google ยังใช้ปัจจัย SEO มาตัดสินจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาอีกด้วย
หากคุณอยากให้เว็บไซต์ได้ตำแหน่งบนสุดของหน้าผลลัพธ์ของ Search Engine คำตอบคือ ทำ SEO มันสามารถช่วยสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้แบรนด์หรือธุรกิจของคุณได้ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง
ก่อนอื่นต้องรู้ไว้ว่า SEO ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก นอกจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของ SEO แล้ว แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับสร้างพื้นฐานการตลาดดิจิทัลและวิธีการทำงานของ Search Engine ก็สำคัญไม่แพ้กัน เรารวบรวมมาให้แล้ว ดังนี้
จากที่อ่านมาทั้งหมด แน่นอนว่ามันอาจจะเยอะและยุ่งยาก แต่ความคุ้มค่าและผลลัพธ์ที่ได้จากกลยุทธ์ SEO ที่ทำอย่างต่อเนื่องนั้นไม่เคยหักหลังความพยายามของใคร เรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอด เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม คือสิ่งที่เราอยากให้คุณทำ หรือจะจ้างทีมงานเรา รับทำ SEO ให้ติดหน้าแรก ให้ครบจบที่เดียวกับ AsiaSearch.co.th ก็ได้เช่นกัน
เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างดีย่อมมีโอกาสปรากฏในหน้าผลการค้นหาอันดับต้น ๆ และเพิ่มยอดเข้าชมได้แน่นอน
สรุปการทำ SEO 4 ประเภทหลัก ๆ ที่พูดถึงก่อนหน้านี้:
มาถึงตรงนี้ หวังว่าคุณจะมีเข้าใจการทำ SEO ชัดเจนขึ้นและนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของตัวเองได้
จำไว้ว่า SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประโยชน์ในระยะยาว มีการเปลี่ยนแปลงและการอัปเดตใหม่ ๆ ตลอด ดังนั้นคุณต้องปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณอยู่เสมอให้ทันโลกและอัลกอริทึมของ Search Engine ต่าง ๆ
Performance Marketing