SEO คืออะไร SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือการเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ที่หลายคนอาจคุ้นกันในชื่อเครื่องมือค้นหาอย่างเช่น Google เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมให้แก่เว็บไซต์แบบออร์แกนิก โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ Ads ทำให้ SEO ยังเป็นกลยุทธ์การตลาดที่น่าเชื่อถือและไม่ต้องใช้งบเยอะก็สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชม รวมถึงสร้าง Conversion ได้
เพื่อให้คุณเข้าใจ SEO มากขึ้น บทความนี้เราจะมาพูดถึง SEO กันแบบละเอียดยิบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ วิธีการทำงานของ SEO รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการแรงก์ เพื่อให้คุณสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปปรับปรุงเว็บไซต์ของเราจนสามารถไต่อันดับในเครื่องมือค้นหาได้ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย
Table of Contents
ToggleSEO (search engine optimization) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์บนเครื่องมือการค้นหา สำหรับเครื่องมือการค้นหาที่ทั่วโลกใช้กันมากที่สุดคือ Google การที่เว็บไซต์ของเราถูกค้นหาเจอได้ง่ายใน Keyword ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสคลิกเข้ามาได้สูงโดยไม่ต้องทำการซื้อโฆษณา โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเว็บไซต์ การปรับแต่งเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น On-page SEO , Off-page SEO และ Technical SEO
แต่การจะทำให้เว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับต้นๆ บนหน้าการค้นหา (SERPs) จะต้องมีการทำเว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาจัดอันดับเว็บไซต์ของเราอยู่บนอันดับต้นๆ ซึ่งสิ่งเรานี้เรียกว่าการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google
การทำ SEO คือการให้ความสำคัญกับอันดับบนมีความเกี่ยวข้องกับ Google และ Search Engine อื่น ๆ ทำงานเพื่อรวบรวม จัดระเบียบ และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบคำถามของผู้ใช้งาน เพื่อทำงานให้ดีพวกเขาจะต้องผ่านกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ได้แก่
กลยุทธ์ SEO จะปรับปรุงการแสดงเว็บไซต์ด้วยการทำเว็บไซต์ของเราให้น่าสนใจยิ่งขึ้นในสายตา Search Engine พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำงานเพื่อพิจารณาว่าเว็บไซต์ดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการจัดอันดับได้ดีหรือไม่
นอกจากนี้ อัลกอริทึมของ Search Engine ยังพิจารณาปัจจัยการจัดอันดับอย่างครอบคลุม เช่น คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพของ Backlink และความสดใหม่ของเนื้อหา ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในหน้าแรกเร็วยิ่งขึ้น
บริการที่น่าสนใจ รับทำ Backlink คุณภาพสูง ช่วยทำให้เว็บน่าเชื่อถือ และทำให้ติดอันดับบน Google ได้เร็วขึ้น
ต่อไปนี้คือปัจจัยที่คุณต้องจับตามองของการทำ SEO เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ดังนี้
การทำSEO จะมีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้
On-page SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพของแต่ละหน้าเพจในเว็บไซต์ การทำ SEO ประเภทนี้จะเน้นไปที่เนื้อหาของหน้าเพจและโค้ด HTML รวมถึงแท็กชื่อ title tags, header tags และ meta description เพื่อให้ดึงดูดผู้ใช้เว็บและโปรแกรมรวบรวมข้อมูล Search Engine
สำหรับการปรับปรุง On-page SEO ยังช่วยจัดระเบียบหน้าเพจของคุณเพื่อให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลเว็บ Search Engine สามารถวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องเนื้อหาและจัดทำดัชนีสำหรับ keyword ที่เกี่ยวข้องได้อย่างง่ายดาย โดยมีอยู่หลัก ๆ ดังนี้
Off-page SEO หมายถึงกิจกรรมที่ดำเนินการภายนอกเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในหน้าการค้นหา Search Engine และช่วยสร้างการรับรู้ตัวตนกับเว็บไซต์ ธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่า Off-page SEO มีปัจจัยส่วนไหนบ้างที่เราต้องรู้ไว้
Technical SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคนิคให้เว็บ เพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามเกณฑ์ของอัลกอริทึมของ Search Engine การทำ SEO ทางเทคนิคให้เหมาะสมจะชี้แนะให้ Search Engine อย่าง Google ตรวจหาและจัดทำดัชนีหน้าเว็บได้อย่างง่ายดาย และผลที่ได้คือปรับอันดับให้หน้าเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์อยู่สูงขึ้นในหน้าค้นหา
Technical SEO ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงอันดับการค้นหาของคุณ แต่ยังช่วยกำหนด user experience ได้อีกด้วย แน่นอนว่าผู้ใช้และ Search Engine ย่อมอยากเข้าชมเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดี โหลดเร็วและมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว และทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญของ Technical SEO ที่คุณต้องรู้ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์
Local search engine optimization คือเป็นกิจกรรมในการปรับปรุงการมองเห็นของธุรกิจในท้องถิ่นบนหน้าการค้นหา ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และบริการของตนในพื้นที่ที่ให้บริการได้ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เมื่อผู้คนค้นหา “หมอใกล้ฉัน” Search Engine จะระบุตำแหน่งของพวกเขาผ่านที่อยู่ IP และแสดงผลลัพธ์ตามตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด โดยสามารถปรับปรุง Local SEO ได้ดังนี้
บริการที่น่าสนใจ Local SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่น
ทุกวันนี้ Organic search เป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์อย่างปฏิเสธไม่ได้ การเข้าชมแบบออร์แกนิกมีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนจากเพียงแค่ผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นผู้ซื้อหรือเป็นสมาชิกของธุรกิจของคุณ แต่การเพิ่มยอดเข้าชมแบบออร์แกนิกให้เว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่จึงเป็นที่มาของ SEO เพราะคุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพส่วนต่าง ๆ ของเว็บและเพจของคุณให้เหมาะกับเกณฑ์ต่าง ๆ ของอัลกอริทึมการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
search engine optimization คือกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มการมองเห็นให้เว็บไซต์บน Search Engine ยิ่งอันดับของคุณสูงเท่าไร เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งได้รับการเข้าชมมากขึ้นเท่านั้น เหมาะมากกับธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ ของการทำ SEO คือการทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายและรายได้ของคุณได้จริง
อัลกอริทึมของ Google ยังใช้ปัจจัย SEO มาตัดสินจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าการค้นหาอีกด้วย
แต่ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด ๆ SEO คืออะไร คือ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมเพื่อให้ได้อันดับดีขึ้นผ่านการเข้าชมแบบออร์แกนิกหรือไม่เสียเงินซื้อ Ads ว่ากันง่าย ๆ คือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing เห็นเว็บไซต์ในหน้าแรกของการค้นหา แล้วก็คลิกเข้ามาเลย
ส่วน SEM คืออะไร จะเป็นกลยุทธ์แบบเสียเงินเพื่อเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมาจากการคลิกโฆษณาที่สร้างไว้บน Google Ads หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ
ทั้งนี้แล้ว SEO ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อให้ได้ผลที่สม่ำเสมอและยั่งยืน แต่ SEM ได้ผลทันทีในการติดหน้าแรก หรือรอไม่นานเท่า แถมยังเห็นได้เลยว่าโฆษณาของคุณสร้างจำนวนคลิกและ Conversion ได้มากน้อยยังไง ถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่ SEO และ SEM ก็ทำงานร่วมกันได้ เพราะการจะสร้างกลยุทธ์ SEM ที่ดีได้ก็ต้องมีพื้นฐาน SEO ให้ดีก่อนนั่นเอง
สิ่งสำคัญคือต้องอาศัยปัจจัย SEO ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ การใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่ถูกต้องและล้าสมัย ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเข้าชมเว็บไซต์และยอด conversion ได้อีกด้วย ข้างล่างนี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด วิธีการทำ SEO เพื่อให้คุณลองไปทำตาม และเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ได้ดังนี้
การทำ Keyword Reseach สำคัญมากต่อการเพิ่มประสิทธิภาพบนเครื่องมือค้นหา มันจะแสดงทุกอย่างตั้งแต่สิ่งที่ผู้คนค้นหาไปจนถึง keyword ที่คู่แข่งของคุณใช้ไต่แรงก์ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่า Keyword Reseach คืออะไร? และต้องทำยังไง?คุณต้องเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของ keyword SEO ก่อนดังนี้
- Seed: keyword ที่ทำหน้าที่เป็นฐานในการขยายเนื้อหา หรือที่เราเรียกว่า keyword สำคัญ (focus keyword) คีย์เวิร์ดอาจเป็นคำง่าย ๆ เลย เช่น “กาแฟ” หรือ “SEO คืออะไร”
- Synonyms: keywordที่มีความหมายเหมือนกันแต่เขียนต่างกันและดึงดูดผลการค้นหาที่คล้าย ๆ กัน ตัวอย่างเช่น “วิธีซ่อมหูฟังที่เสีย” กับ “วิธีซ่อมหูฟังที่เสีย”
- Long-tail: วลีเฉพาะที่ยาวขึ้น เหมาะกับผลการค้นหาที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปประกอบด้วย keyword สามคำขึ้นไป เช่น “สูตรคุกกี้ช็อกโกแลตปราศจากกลูเตน”
- Semantically-related: keyword จำพวกนี้จะมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น “เที่ยวเชียงใหม่” มีความหมายเกี่ยวข้องกับ “เดินทางไปเชียงใหม่” และ “จุดเช็กอินที่ดีที่สุดในเชียงใหม่”
- Search volume: จำนวนผู้ที่ค้นหาด้วยคำหรือข้อความนั้น ๆ ในสโคปเวลาและพื้นที่ที่กำหนดไว้
- Keyword difficulty: เป็นการแข่งขันของ keyword เพื่อวัดว่า keyword นั้นไต่แรงก์ในผลการค้นหาทั่วไปของ Google ได้ยากง่ายแค่ไหน
อัลกอริทึมจาก Search Engine จะนำเสนอผลการค้นหาขั้นสูงให้ตามวัตถุประสงค์ของการค้นหา หรือที่เรียกว่า Search Intent อย่างตัวอัลกอริทึมของ Google เองก็ไม่ได้ให้ผู้ค้นหาแค่ผลค้นหาที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังคัดกรองเอาผลค้นหาที่ตรงกับ Search Intent ของผู้ค้นหามากที่สุดมาให้อีกด้วย มาดูกันว่าเจ้าอัลกอริทึมการค้นหาตัวนี้มี Search Intent กี่ประเภทในการดึงผลค้นหาออกมาให้ผู้ค้นหากัน
- Informational: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทราบหรือเรียนรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง Search Intent นี้ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับคำว่า “ทำ…อย่างไร”, “ใครคือ…”, “คืออะไร” เป็นต้น
- Navigational: ผู้ใช้ที่มีเจตนานี้ส่วนใหญ่ อยากเข้าชมเว็บไซต์ที่ต้องการอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะเข้าถึงเว็บไซต์นั้น ๆ ด้วยการค้นหาผ่าน Google ด้วยคีย์เวิร์ดแทน เช่น เข้าสู่ระบบ Facebook, Spotify เป็นต้น
- Commercial: ส่วนมากจะต้องการหาบทความหรือรีวิว เพื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่าง จะได้ตรวจสอบและเปรียบเทียบแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่าง ๆ ได้ เช่น คำค้นหาที่ว่า “แล็ปท็อปเกมเมอร์มาแรงปี 2023” หรือ “ร้านอาหารยอดนิยมใกล้ฉัน”
- Transactional: เป้าหมายของผู้ค้นหาใน Search Intent นี้คือ การหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการซื้อ ส่วนใหญ่จะเจอเป็นชื่อแบรนด์ เช่น “ซื้อ Samsung Galaxy S20” หรือ “ขาย Air Jordan Retro” แบบนี้ไปเลย
Title Tags มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก ๆ เพราะเป็นส่วนที่ให้คอยบอกผู้อ่านว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นประมาณไหนและช่วยดึงดูดให้พวกเขาคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ได้ ส่วนใหญ่ผู้อ่านจะต้องการค้นหาหน้าเว็บที่มีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกับการค้นหา เลยเป็นเหตุผลที่ Google คอยแนะนำให้คุณอย่าลืมเขียน Title Tag ที่มีคีย์เวิร์ด รวมถึงเขียนให้กระชับ ตรงจุดและเข้าใจภาพรวมได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเพิ่มคีย์เวิร์ดเป้าหมายเข้าไปใน Title Tag แล้ว Search Engine ก็จะมองเห็นคุณชัดขึ้น แล้วเรียกคุณให้ไปแสดงในอันดับที่สูงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง คีย์สำคัญคือการวางคีย์เวิร์ดนั้นไว้ในช่วงต้นของ Title Tag เสมอ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Search Engine รู้ได้ว่าหน้าเพจนี้เกี่ยวกับเว็บไซต์อะไร แต่จะต้องใส่ให้เป็นธรรมชาติและไม่ยัดคีย์เวิร์ดจนดูไม่งาม เดี๋ยว Google ลงโทษเอา ไม่รู้ด้วยล่ะ!!
อย่าลืมทำให้ Meta Description ด้วย ตัวนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลย เพราะมันจะสะท้อนให้เห็นว่าเนื้อหาข้างในเพจนั้นกำลังจะพูดเกี่ยวกับอะไร และก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ใช้ดึงดูดผู้ค้นหาให้คลิกเข้ามาด้วย ดูให้ดีว่าส่วนนี้มีคีย์เวิร์ดสำคัญรึยัง ไม่มีก็ใส่ให้เรียบร้อย เขียนให้น่าสนใจ และมีความไม่เกิน 150 ตัวอักษร จะดีมากเลย
ถ้าคุณใช้ WordPress แนะนำเลย ปลั๊กอิน Yoast SEO มันจะช่วยให้คำแนะนำการเขียน Title Tag และ Meta Description แถมยังมีฟีเจอร์ “preview” ไว้ให้ดูตัวอย่างหน้าเพจก่อนเผยแพร่จริงอีกด้วย
ถ้าคุณได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าอัลกอริทึมของ Google ให้คะแนนความน่าเชื่อถือหรือ Authority กับเว็บไซต์ของคุณอย่างงาม จำไว้ว่าปริมาณไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น ควรอยู่จำนวนที่พอดี เพราะถ้าคุณได้รับ Backlink มากจนเกินไป ก็จะส่งผลเสียและถูกมองว่ามาจากเว็บสแปมได้ ทีนี้คะแนนความน่าเชื่อที่คุณสั่งสมมาก็จะถูกทำลายลง จะต้องเลือกเว็บไซต์ในการทำ Backlink ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ดังนั้น แทนที่จะไปเน้นเรื่องปริมาณ ลองหันมารับ Backlink คุณภาพสูงในจำนวนพอดี ก็จะช่วยจัดอันดับ SEO ของคุณได้ดีขึ้นยิ่งกว่า การเขียนบล็อกโพสต์ให้กับเว็บอื่น จะทำให้เราได้รับ Backlink จากเว็บไซต์เหล่านั้น แถมยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ เปิดรับผู้ชมใหม่ ๆ ที่กว้างขึ้นมีคนเข้ามาดูเยอะขึ้น และเพิ่มยอดการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้มากขึ้นอีกด้วย และทำให้ติดอันดับบนเว็บไซต์หน้าแรกได้เร็วยิ่งขึ้น
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ backlink คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างไรบ้าง ?
Google แนะนำอัลกอริทึมการค้นหาใหม่ที่เรียกว่า page experience หมายถึงชุดสัญญาณที่วัดจาก user experience ที่มีต่อหน้าเว็บเพจ Page experience มีปัจจัย SEO ต่าง ๆ เช่น mobile-friendliness, ความปลอดภัยของเว็บไซต์ และความเร็วของเพจ นอกจากนี้ยังใช้ Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดตัวชี้วัดที่ใช้วัดการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพรวมบนเว็บไซต์ มีดังนี้
ในฐานะที่เราใช้ Google มากที่สุด และมีการประมวลผลการค้นหากว่า 6.5 พันล้านรายการต่อวัน ดังนั้น อันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google จึงมีศักยภาพในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของตัวเองอย่างมากเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องให้ความสนใจปัจจัยจัดอันดับของ Google ต่าง ๆ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีการพัฒนาอยู่ตลอด ไปพร้อม ๆ กับอัลกอริทึมการค้นหาของ Google เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวข้องมากที่สุด และเป็นผลดีต่อประสบการณ์การใช้งาน
ตอนนี้หลายคนก็ทราบแล้วว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมการค้นหา ต่อไปนี้คือเคล็ดลับการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับการอัปเดตครั้งใหม่:
การใช้งาน ณ จุดนี้ คือความสะดวกในการใช้งานของเว็บไซต์ ใช้เช่น Crazy Egg และ Hotjar เพื่อเรียนรู้ว่าผู้เข้าชมมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของตัวเองยังไงบ้าง ที่จะบอกว่ามีส่วนไหนได้รับความสนใจมากที่สุดและส่วนไหนติดขัด เพื่อช่วยให้คุณปรับปรุงโครงสร้างหน้าเว็บไซต์และมอบ user experience ที่ดีขึ้นให้ติดหน้าแรก
Google จะกำจัดเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตรายออกจากผลการค้นหา เพื่อให้ผู้เข้าชมไม่เจอเนื้อหาที่เป็นอันตรายและหลอกลวง คุณจึงต้องมี Google Search Console เพื่อดูรายงานปัญหาด้านความปลอดภัย (เรียนรู้เพิ่มเกี่ยวกับ Google Search Console คืออะไร) จะได้มั่นใจว่าหน้าเว็บจะไม่มีปัญหาใดๆ แถมยังช่วยตรวจจับเนื้อหาที่ถูกแฮ็ก มัลแวร์ และการโจมตีแบบฟิชชิ่งอีกด้วย
การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์จะทำให้องค์ประกอบเว็บไซต์พอดีกับขนาดหน้าจอต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ และให้ผู้เข้าชมใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่เดสก์ท็อปไปจนถึงสมาร์ทโฟน อาจลองใช้เลย์เอาต์แบบไหล หรือเอาป๊อปอัปที่ต้องเปิดหน้าต่างใหม่ออกไป
สำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์และต้องการทำ SEO (search engine optimization) หากคุณมีความรู้มีความเข้าใจในการทำ SEO สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วการทำ SEO นั้นมีวิธีการปรับปรุงและต้องมีการปรับแต่งเยอะมาก ๆ และยังต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลาในเหมาะสมกับอัลกอริทึมการค้นหา
ทำให้การเลือกใช้ SEO Agency จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้กับการทำ SEO นั้นเกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าและติดอันดับต้น ๆ บน Google ได้เร็วกว่าทำเองอย่างแน่นอน แต่สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำ SEO ถึงจะอยู่ในระดับที่สูง แต่เมื่อเทียบกับระยะเวลาและคุณภาพของเว็บไซต์ก็มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อโฆษณาเยอะมาก ๆ
จากที่อ่านมาทั้งหมด แน่นอนว่ามันอาจจะเยอะและยุ่งยาก แต่ความคุ้มค่าและผลลัพธ์ที่ได้จากกลยุทธ์ SEO ที่ทำอย่างต่อเนื่องนั้นไม่เคยหักหลังความพยายามของใคร เรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอด ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม คือสิ่งที่เราอยากให้คุณทำ หรือจะจ้างทีมงานเรา รับทำ SEO ให้ติดหน้าแรก ให้ครบจบที่เดียวกับ AsiaSearch.co.th ก็ได้เช่นกัน เริ่มทำ SEO ได้ทันที
เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างดีย่อมมีโอกาสปรากฏในหน้าการค้นหาอันดับต้น ๆ และเพิ่มยอดเข้าชมมีคนเข้ามาดูเยอะขึ้นได้แน่นอน การทำ SEO ที่มีคุณภาพเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเข้ามาปรึกษาการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณได้
Performance Marketing