สอนวิธี Optimize รูปภาพให้ SEO-Friendly

asiasearch
July 20, 2023

รูปภาพไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและดึงดูดใจผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อ SEO อีกด้วย การทำความเข้าใจพื้นฐานของการปรับรูปภาพให้เหมาะสมจะช่วยให้เนื้อหาของคุณมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จการทำ SEO ได้ ปรึกษาบริการรับทำ SEO ได้ ที่ Asia Search Solution

Image optimization คืออะไร?

Image optimization คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรูปภาพ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างและส่งมอบรูปภาพคุณภาพในไฟล์และขนาดที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ เท่านั้นยังไม่พอยังเป็นเรื่องของการติดฉลากให้กับรูปภาพของคุณด้วยข้อมูลเมตาที่สำคัญ เพื่อให้บอทเก็บข้อมูลของ Search Engine สามารถอ่านและทำความเข้าใจบริบทของรูปภาพได้อีกด้วย

ว่ากันตาม HTTP Archive ในปี 2018 รูปภาพถูกคิดเป็น 21% ของน้ำหนักเฉลี่ยทั้งหมดของเว็บเพจ ส่วนแบ่งตรงนี้ยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย ถ้าอิงจากการใช้รูปภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้พวกเขายังคาดไว้อีกว่ารูปภาพจะเป็นองค์ประกอบที่หนักที่สุดในเว็บเพจ ดังนั้น ขนาดภาพและความซับซ้อนจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์

แต่ถ้าคุณลองลดขนาดของรูปภาพด้วยไม่ลดทอนคุณภาพ เวลาในการโหลดหน้าเพจและภาพรวมของ User Experience ก็จะดียิ่งขึ้น ทำเพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างผลดีให้กับการจัดอันดับของ Search Engine ได้แล้ว ทีนี้การมีส่วนร่วมของลูกค้ากับ Conversion ก็จะเพิ่มมากขึ้น และคุณเองก็จะสามารถรักษาลูกค้าได้อีกด้วย

แจกเคล็ดลับ: การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรูปภาพจะช่วยให้คุณมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์มากขึ้น แถมยังทำให้การสำรองมูลเร็วขึ้นอีกด้วย

ในบทความนี้เราจะมาแอบกระซิบบอก 10 วิธีในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรูปภาพให้คุณได้ลองนำไปใช้กัน ไปดูกันเลย…

สอนวิธี Optimize รูปภาพให้ SEO-Friendly (1)

1. ปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสม

ขนาดรูปภาพและขนาดไฟล์ไม่เหมือนกัน ขนาดรูปภาพคือขนาดมิติต่าง ๆ ของรูปภาพ พวกความกว้าง ความยาว เช่น 1024 x 680 พิกเซล ส่วนขนาดไฟล์คือพื้นที่จัดเก็บข้อมูล เช่น 350 kb

รูปภาพที่มีขนาดไฟล์หนัก ๆ และมีขนาดรูปภาพใหญ่จนเกินไปจะทำให้หน้าเพจโหลดช้าลง แม้ว่าจะส่งผลดีต่อความสวยงามหรือปริ้นท์ออกมาสวยก็ตาม เราควรใช้สเกลให้น้อยลงและปรับขนาดให้เหมาะสมกับเว็บไซต์จะดีที่สุด

ใช้ไฟล์ให้เหมาะสม

ไฟล์ PNG, JPEG, และ GIF ต่างมีข้อดีเป็นของตัวเอง แต่ถ้าอยากให้แนะนำ ขอให้เลือกเป็นไฟล์ JPEG สำหรับรูปภาพที่มีหลายเฉดสี และ PNG สำหรับรูปภาพปกติ

เลือกอัตราการบีบอัดที่เหมาะสม

รูปภาพที่ถูกบีบอัดแล้วจะมีผลต่อขนาดไฟล์และขนาดของรูปภาพโดยตรง คือทำให้รูปภาพมีขนาดเล็กลง และคุณภาพของรูปภาพก็จะน้อยลงด้วย

หลังจากทดลองดูว่าประเภทไฟล์ไหน และการบีบอัดขนาดใดจะดีที่สุดสำหรับรูปภาพ เครื่องมือแก้ไขภาพจำนวนมาก เช่น Adobe Photoshop มีตัวเลือกให้บันทึกรูปภาพสำหรับเว็บ โดยจะย่อขนาดไฟล์ให้อัตโนมัติในตอนที่ปรับคุณภาพของรูปภาพเลย

แต่ถ้าคุณไม่เคยใช้ Photoshop เครื่องมือพวกนี้ก็ใช้แทนได้เหมือนกัน:

เครื่องมือสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพให้รูปภาพ

·   Affinity Photo

·   FileOptimizer

·   Gimp

·   ImageOptim (สำหรับ Mac เท่านั้น)

·   JPEG Mini

·   Kraken (bulk compression)

·   Photopea

·   Pixlr (JPEG optimization)

·   OptiPNG

·   Trimage

ปลั๊กอิน WordPress สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพให้รูปภาพ

·   EWWW Image Optimizer

·   ImageRecycle

·   Optimus Image Optimizer

·   ShortPixel

·   TinyPNG

·   WP Smush

·   Yoast SEO

ทดสอบความเร็ว (Test speed)

หลังจากที่ปรับแต่งรูปภาพไปแล้ว จะรู้ได้ยังไงว่าเวลาการโหลดหน้าเว็บเร็วแล้ว ง่าย ๆ ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้ดูเพื่อทดสอบความเร็วเว็บไซต์ของคุณ:

·   GTmetrix

·   Google PageSpeed Insights

·   Pingdom

·   WebPageTest

·   WebWait

แจกเคล็ดลับ: ถ้าคุณอัปเดตเว็บไซต์บ่อย ๆ แนะนำให้ตรวจสอบเวลาโหลดของหน้าเพจเสมอด้วย

2. ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้ดี

ชื่อไฟล์รูปภาพที่มีความเกี่ยวข้อง อธิบายด้วยคีย์เวิร์ดสำคัญ ยิ่งถ้าวางคีย์เวิร์ดนั้นไว้ข้างหน้าสุดได้ยิ่งดี หรือใส่อีก 1-2 คำแล้วขั้นด้วยขีด hyphen (-) อย่าใช้ underscore (_) เด็ดขาด เพราะ Search Engine ไม่รู้จักเครื่องหมายนี้ และจะไม่เห็นคีย์เวิร์ดเหล่านั้นเป็นคำ ๆ ได้

ชื่อไฟล์ภาพควรตั้งให้ทั้ง Search Engine และคนอ่านได้ เช่น ถ้ารูปภาพเกี่ยวกับผู้หญิงในร้านทำผมจากเดิม ชื่อไฟล์คือ salon1234.jpg ลองเปลี่ยนให้เข้าใจง่าย อธิบายให้เข้าใจมากขึ้น เช่น ผู้หญิงกำลังตัดผมในร้านเสริมสวย.jpg     

3. ใช้ Alt tags เข้ามาช่วย

ผู้เข้าชมอาจเข้าใจรูปภาพ แต่ Search Engine อย่าง Spider ต้องการเบาะแสเพื่อทำความเข้าใจ ถ้าไม่มี alternative text เข้ามาช่วย Search Engine ไม่มีทางรู้ได้ว่ารูปภาพนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร

Alt tag ที่ดีจะให้บริบททำให้บอทเข้าใจ แถมยังช่วยผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางสายตาได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เมื่อเกิดความผิดพลาดเรื่องการโหลดรูปภาพ เพราะ Search Engine จะยังสามารถอ่าน Alt tag ได้ แล้วเอาตรงนี้ไปช่วยในเรื่องการจัดอันดับ

แจกเคล็ดลับ: คำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าสามารถอยู่ใน Alt tag เพื่อเพิ่มการมองเห็น แต่หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ด

4. สร้างรูปภาพให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ

อัลกอริทึมของ Google จะจัดทำดัชนีโดยคำนึงเรื่องการใช้งานบนมือถือมาก่อน หมายความว่าบอทเก็บข้อมูลจึงจะเล็งไปที่เวอร์ชั่นมือถือของหน้าเว็บเป็นอย่างแรก ดังนั้นรูปภาพของคุณก็ควรตั้งค่าให้เป็น mobile friendly ด้วย ส่วนจะทำยังไงนั้น ตอบสั้น ๆ เลยคือ เช็กให้ชัวร์ว่ารูปภาพและเลย์เอาต์ของคุณตอบสนองกับอุปกรณ์มือถือ

เทมเพลตและเครื่องมือสร้างเว็บไซต์บางตัวจะปรับขนาดรูปภาพให้อัตโนมัติ แต่ก้ยังระบุขนาดรูปภาพตามความกว้างของอุปกรณ์ได้อยู่ ให้ลองเพิ่มโค้ด CSS แบบกำหนดเองลงในเว็บไซต์ดู

5. อย่าลืมตั้ง Image title

ปกติ WordPress จะสร้าง Title ให้รูปภาพจากชื่อไฟล์ แต่ถ้าคุณไม่ได้ช้ WordPress หรือตัว Title นั้นยังอธิบายรูปได้ไม่ดีพอ ก็สามารถเปลี่ยนเองได้เลย อาจเพิ่มคีย์เวิร์ดเข้าไปให้เหมือนกับชื่อไฟล์ภาพก็ได้ ในทางที่ดีควรต้องชื่อให้เข้ากับ keywords ในเว็บไซต์นั้น ๆ

Image title เป็นจุดที่สำคัญน้อยสุดในการทำ SEO แต่ก็ช่วยได้เยอะในเรื่องของการทำความเข้าใจบริบทเพิ่มเติมจาก Alt tag ที่อาจจะมีแค่คีย์เวิร์ดหรืออาจยังอธิบายได้ไม่ดีพอ นอกจากนี้ Image title ยังช่วยในเรื่องของการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานด้วย แนะนำให้ลองใช้คำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ดาวน์โหลดวันนี้”

6. เพิ่มแคปชั่นให้รูปภาพ

Image captions หรือแคปชั่นรูปภาพ เป็นข้อความข้างใต้ของรูปภาพ แน่นอนว่ามันไม่ส่งผลต่อการทำ SEO โดยตรง เมื่อเทียบกับชื่อไฟล์ภาพ หรือ Alt tag แคปชั่นรูปภาพจริง ๆ แล้วทำหน้าเป็นคำบรรยาย เลยจะถูกพบเห็นได้ง่ายและมีส่วนทำให้ประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ดีขึ้นด้วย ทางที่ดีก็ควรเขียนไว้ และเขียนให้ดี เข้าใจง่ายละน่าดึงดูด

7. ใช้รูปภาพที่ไม่เหมือนใคร

ภาพถ่ายสต็อกนั้นใช้ได้ แต่มันไม่ได้ช่วยให้อันดับการค้นหาของคุณดีขึ้นขนาดนั้น เพราะเว็บไซต์อื่น ๆ ก็มักจะใช้ภาพเดียวกัน หรือในทำนองนี้อยู่แล้ว เนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเฉพาะนั้นดีกว่าสำหรับ SEO ดังนั้นควรอัปโหลดรูปภาพที่ไม่ซ้ำใครจะดีที่สุด

8. เช็กทุกส่วนประกอบของรูปภาพ

หน้าสำเนาจะสามารถช่วย Search Engine ระบุความเกี่ยวข้องของรูปภาพของคุณ ในกรณีที่ข้อความของคุณมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะอธิบายรูปภาพ ไม่สามารถอธิบายเพิ่มได้

9. เพิ่มข้อมูลโครงสร้างรูปภาพ (Image Structured Data)

Structured Data ก็ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ เพราะมีส่วนช่วยให้ Search Engine แสดงรูปภาพของคุณในหน้าผลการค้นหาในฐานะ Rich Results ได้ ทั้งนี้ Google Images ยังรองรับ Structured Data ของรูปภาพสินค้า รวมไปถึงสื่อจำพวกวิดีโอ และสูตรอาหารอีกด้วย  

10. ใช้แผนผังเว็บไซต์ (Site Maps)

Google จะอธิบาย site map ว่าเป็น “ไฟล์ที่ใช้แสดงรายการหน้าเว็บของไซต์เพื่อบอก Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เกี่ยวกับการจัดระเบียบเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ” กล่าวคือ เป็นไฟล์ที่มีแผนผังของเนื้อหาในเว็บไซต์อยู่ในนั้น

Site map นั้นสำคัญมากสำหรับการทำ SEO เพราะมีหน้าที่บอก Search Engien เกี่ยวกับหน้าเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ รวมถึงโครงสร้างเว็บไซต์อีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่า Search Engine จะเข้าไปเก็บข้อมูลภาพทุกภาพ ไม่ว่าจะเป็นอินโฟกราฟิก มีม รูปภาพ ภาพขนาดย่อของวิดีโอ ฯลฯ – ใส่ไว้ใน Site map ให้หมดเลย!!

สำหรับการป้อนรูปภาพแต่ละรายการก่อนอัปโหลดลงหน้าเพจ ให้ใส่ชื่อ คำอธิบาย ตำแหน่ง URL คำอธิบายภาพ และข้อมูลใบอนุญาตให้เรียบร้อย สำหรับสื่อจำพวกวิดีโอ ก็ให้ใส่ชื่อ คำอธิบาย ตำแหน่ง URL ภาพขนาดย่อ และ URL ไฟล์วิดีโอดิบไว้

ถ้าเว็บไซต์ของคุณใช้ WordPress อยู่ คุณจะสามารถใช้ Yoast SEO ได้ ปลั๊กอินตัวนี้จะเพิ่มเนื้อหาในส่วนของรูปภาพลง Sitemap แบบอัตโนมัติเลย

ทำรูปภาพของคุณให้ออกมาดีที่สุด

ถ้าตอนนี้คุณกำลังประสบปัญหาในการทำให้เนื้อหาของคุณเป็นที่รู้จัก ให้ลองนำกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้ก่อนจะอัปโหลดรูปภาพลงเว็บไซต์ เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพให้รูปภาพเหล่านี้จะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดให้เนื้อหาของคุณทั้งต่อ Search Engine และผู้ใช้งานทั่วไป

Share: