ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลายคนสันนิษฐานอย่างผิด ๆ ว่า SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่บิดเบือน นั่นคือการ ‘โกงอัลกอริทึม’ และใช้กลวิธีเพื่อทำให้ Google คิดว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคำค้นหา
สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น และนัก SEO ควรมุ่งเน้นที่ความพยายามในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดบนเว็บมากกว่าแค่เพียงทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้น
แต่อัลกอริทึมของ Google ยังก้าวหน้าน้อยกว่าในขั้นตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการระบุเว็บสแปม
นักการตลาดจำนวนมากใช้กลยุทธ์ Blackhat SEO อย่างล้นหลามเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ ทั้งนี้เวลาเปลี่ยนหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง Black Hat SEO ไม่ได้ลอยนวลง่ายขนาดนั้นแล้ว ในบทความนี้นี้ เราจะมาเจาะลึกถึงเทคนิคที่ควรหลีกเลี่ยงหากคุณไม่ต้องการทำผิดกฎของอัลกอริทึม รวมถึงแนะนำหลักเกณฑ์ด้านคุณภาพสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์
Table of Contents
ToggleBlack Hat SEO เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ที่ละเมิดหลักเกณฑ์ของ Search Engine เทคนิค Black Hat SEO จะพยายามควบคุมอัลกอริทึมของ Search Engine เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ใน SERPs (เรียนรู้เพิ่มเติม Search Engine ทำงานอย่างไร )
Search Engine เช่น Google และ Bing จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแนวทางปฏิบัติไหนบ้างที่ขัดแย้งกับข้อกำหนดของพวกเขา และพวกเขาก็ค่อนข้างชัดเจนกับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นหากคุณละเมิดหลักเกณฑ์ไป การใช้กลยุทธ์ SEO แบบ Blackhat อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษ (ไม่ว่าจะด้วยอัลกอริทึมหรือด้วยการดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่) ซึ่งหมายถึงตำแหน่งที่มีอันดับต่ำกว่า และเป็นไปได้มากว่าปริมาณการเข้าชมที่เกิดขึ้นเองจะลดลง
มีความเสี่ยงที่สำคัญของการใช้กลยุทธ์ Blackhat เพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ และนั่นคือเหตุผลที่เอเจนซี่ SEO ส่วนใหญ่เลือกหันหลังให้แนวทางนี้กัน อุตสาหกรรม SEO ส่วนใหญ่เห็นว่าการปฏิบัติเหล่านี้ผิดจรรยาบรรณโดยสิ้นเชิง
แต่ความจริงก็คือมีนักการตลาดส่วนน้อยที่ต้องการลองโกงระบบและพยายามทำให้ความสำเร็จแบบออร์แกนิกของเว็บไซต์ขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเทคนิค Blackhat SEO จะได้ผลกับเว็บไซต์ แต่ผลลัพธ์ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน
เมื่อดูหลักเกณฑ์สำหรับผู้ดูแลเว็บของ Google เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคำแนะนำเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของ SEO ที่ว่า:
หลีกเลี่ยงกลอุบายเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับของ Search Engine หลักทั่วไปที่ดีคือ คุณรู้สึกสบายใจที่จะอธิบายสิ่งที่คุณได้ทำกับเว็บไซต์ที่แข่งขันกับคุณ หรือกับพนักงานของ Google หรือไม่ การทดสอบที่เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือการถามว่า “สิ่งนี้ช่วยผู้ใช้ของฉันหรือไม่? ฉันจะทำเช่นนี้หากไม่มี search engines”
เมื่อพูดถึงการใช้กลยุทธ์ Blackhat ความจริงก็คือว่าเทคนิคเหล่านี้ไม่ได้ช่วยผู้ใช้ และจะไม่ถูกนำมาใช้หากไม่มี Blackhat
แต่อะไรคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดหากเว็บไซต์ใช้ Blackhat SEO เพื่อจัดอันดับในหน้าผลการค้นหา
เมื่อเจาะลึกลงไปในหลักเกณฑ์สำหรับผู้ดูแลเว็บของ Google เราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการละเมิดดังกล่าว “อาจนำไปสู่การลบเว็บไซต์ทั้งหมดออกจากดัชนีของ Google หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามอัลกอริทึมหรือสแปมโดยเจ้าหน้าที่” หลักเกณฑ์ยังกล่าวต่อไปว่า “หากเว็บไซต์ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการสแปม เว็บไซต์นั้นอาจไม่ปรากฏในผลลัพธ์บน Google.com หรือเว็บไซต์พันธมิตรใด ๆ ของ Google อีกต่อไป”
ในขณะที่ SEO นั้นเกี่ยวกับการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมตามธรรมชาติของเว็บไซต์ แต่กลยุทธ์แบบ Blackhat อาจส่งผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดจึงควรหลีกเลี่ยงวิธีการดังกล่าว เราได้แบ่งประเด็นนี้ออกเป็นสามประเด็นสำคัญ…
เหตุผลอันดับหนึ่งที่จะไม่ใช้กลยุทธ์การทำ SEO แบบ Blackhat ก็คือท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณสูญเสียอันดับการค้นหา การมองเห็น และการเข้าชม
เพียงแค่ดูที่ด้านล่าง นี่คือการเปิดเผยของไซต์ที่เข้าร่วมในกลยุทธ์ที่ผิดธรรมชาติและได้รับผลกระทบในทางลบจากสิ่งนี้:
เมื่อเว็บไซต์สูญเสียการเข้าชมและการมองเห็น ปกติแล้วแล้ว Conversion และรายได้ก็จะมีแนวโน้มที่คล้าย ๆ กัน
สิ่งนี้อาจหมายถึงการลดรายได้ของธุรกิจและนำไปสู่การสูญเสียงานหรือแม้แต่การปิดกิจการ หรือดีขึ้นมาอีกนิดคือการลดลงอย่างรุนแรงของการเข้าชมแบบออร์แกนิก หมายความว่าสิ่งนี้จะต้องเสริมด้วยการลงทุนที่สูงขึ้นใน PPC หรือสื่อแบบชำระเงินอื่น ๆ
กลยุทธ์การทำ SEO ของ Black Hat อาจทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ลดลงไม่ว่าจะเป็นผลมาจากการดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่หรือการกรองของอัลกอริทึมเอง
แม้ในกรณีที่อันดับและประสิทธิภาพทั่วไปเพิ่มขึ้นในตอนแรก แต่สิ่งเหล่านี้มักไม่ค่อยยั่งยืนเท่าไหร่
แม้ว่า Google อาจใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการระบุว่าเว็บไซต์หนึ่งเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ (ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่หรือมีการอัปเดตอัลกอริทึมหลัก) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว การสูญเสียการเข้าชมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็หาย 100%
บางทีสิ่งเดียวที่แย่กว่าการดิ้นรนเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์เลยก็คือการเห็นอันดับและปริมาณการใช้งานสูงเกินจริง จากนั้นก้ลดลงลดลงอย่างกะทันหันในเวลาเพียงไม่นาน ธุรกิจต้องการความสามารถในการคาดการณ์ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่กลยุทธ์ Blackhat จะทำได้
SEO จำเป็นต้องให้ความสำคัญไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์และทำงานเพื่อให้บริการเนื้อหาที่ดีที่สุดและ UX ที่ดีที่สุด แต่กลยุทธ์ของ Blackhat กลับตรงกันข้าม พวกเขาปรับให้เหมาะสมสำหรับ Search Engine (อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาคิดว่า Search Engine ต้องการเห็น) มากกว่าผู้ใช้ และสิ่งนี้อาจเป็นปัญหาได้
ความเชื่อถือมีส่วนอย่างมากต่อความสำเร็จในการค้นหา หากคำนึงถึง Search Engine เป็นหลักมากกว่าผู้ใช้ เหมือนกับการทำลายโอกาสในสร้าง Conversion ไปเลยในตัว
หากคุณเพิ่งเริ่มต้นทำ SEO มักเป็นเรื่องยากที่จะทราบว่ากลยุทธ์ไหนที่ควรและไม่ควรใช้ ในขณะที่พื้นฐาน SEO จำนวนมากเป็นกลยุทธ์ White hat ที่ชัดเจน แต่กลยุทธ์ขั้นสูงจำนวนมากนั้นก็ยังต้องการความใส่ใจในรายละเอียดมากกว่า หลายคนจึงนิยมใช้บริการ Digital Marketing Agency ในการทำ SEO มากกว่า บริการ รับทำ SEO สายขายจากเราจะใช้วิธีการที่ดีต่อเครื่องมือค้นหา เช่น การ Optimize รูปภาพให้ SEO-Friendly , สร้างKeyword Density และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้แล้ว ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าคุณทำตามคำแนะนำที่ถูกต้อง กลวิธีที่แนะนำในบล็อก กลุ่มโซเชียลมีเดีย หรือจากคนรู้จักของคุณอาจฟังดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ “ขั้นสูง” แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์เหล่านี้ก็ยังนำคุณไปสู่เทคนิค Blackhat อยู่ดี
ยิ่งคุณรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะสร้างหายนะให้เว็บไซต์ของคุณมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสามารถสังเกตเห็นและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น มาดูกันว่ากลยุทธ์ 9 ข้อที่ละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google มีอะไรบ้าง ดังนี้
การใช้คีย์เวิร์ดเป้าหมายหลักของเพจของคุณซ้ำมากเกินไปจะไม่ช่วยให้คุณติดอันดับ มันจะกลายเป็นการยัดคำหลักไปเลย และเราต่างก็รู้ดีว่าการยัดคีย์เวิร์ดว่ามันส่งผลตรงกันข้ามเลยต่างหาก
บางครั้ง SEO ของ Black Hat ก็ดูเหมือนว่าจะพยายามควบคุมการจัดอันดับของเว็บไซต์มากไปด้วยการใส่คีย์เวิร์ดอย่างผิดธรรมชาติในหน้าต่าง ๆ จนคนอ่านไม่เข้าใจ การยัดคำหลักมักเกิดขึ้นในบล็อกที่อยู่นอกเนื้อหาหลักหรือในย่อหน้าที่ไม่สมเหตุสมผล
การสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหายังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับสามต้น ๆ ของ Google
เทคนิค Blackhat ทั่วไปคือการสร้างเนื้อหาอัตโนมัติเพื่อจัดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดจำนวนเยอะ ๆ เพื่อให้ดูเหมือนสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และไม่ซ้ำใคร ตัวอย่างจะเป็นหน้าเพจที่เนื้อหาเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้ง หรือเปลี่ยนแค่ชื่อสถานที่ ซึ่งทำให้ Google ลมบ่จอยมาก
ดังนั้น สู้เอาเวลาไปลงแรงให้กับการเขียนคอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำใคร ไม่ยัดเวิร์ด และเป็นมิตรกับ SEO อาจจะดีกว่า เช่น การทำ Off-page SEO และ On-page SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างน้อยเราก้มั่นใจได้ว่าเนื้อหาของเราไม่ได้คุณภาพต่ำหรือเป็นหน้าที่ซ้ำกัน
ข้อความที่ซ่อนอยู่คือข้อความที่มีสีเดียวกับพื้นหลังซึ่งวางอยู่นอกหน้าจอหรือด้านหลังรูปภาพ โดยตั้งใจใช้ CSS เพื่อซ่อนจากผู้ใช้ หรือแม้แต่ใช้ขนาดตัวอักษรเป็นศูนย์ นี่เป็นการหลอกลวงแบบชัดเจน แถมบางครั้งเนื้อหาตรงนี้ยังเป็นการยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปอีกด้วย นักการตลาดจำนวนมากจะใช้วิธีนี้ โดยจะมีรายการคีย์เวิร์ดเยอะ ๆ ใส่เข้าไปในหน้าเพจเพื่อได้รับการจัดอันดับใน SERP
แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนี้คือความพยายามที่ชัดเจนในการซ่อนข้อความทั้งหมด และสิ่งนี้ใช้ไม่ได้กับข้อความที่อยู่ในหีบเพลง ในแท็บ หรือถูกโหลดแบบไดนามิกโดยใช้ JavaScript จากฝั่งของเรา เราไม่แนะนำให้ซ่อนข้อความที่ในเพจของคุณอย่างแน่นอน โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหามีความซับซ้อนมากขึ้น และพวกมันรู้ว่าคุณกำลังพยายามยัดคีย์เวิร์ดอยู่
การสร้างหน้าเว็บที่กำหนดเป้าหมายคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงโดยมีเนื้อหาที่มุ่งหมายให้ทำหน้าที่เป็นช่องทางไปยังหน้าเพจเดียวเท่านั้น ข้อนี้ถือเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google และหน้าประเภทนี้เรามักเรียกว่ากันว่า หน้าประตูหรือหน้าเกตเวย์ (Doorway/Gateway Pages)
เนื้อหาทุกชิ้นในเว็บไซต์ของคุณควรมีวัตถุประสงค์เฉพาะ และคุณไม่ควรสร้างหน้าเว็บเพื่อพยายามจัดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ตัวอย่างเทคนิค Blackhat นี้ ได้แก่:
ก็คือไม่สร้างเนื้อหามาให้คนอ่าน แต่ให้ Search Engine ตรวจเจอ
การปิดบังหน้าเว็บจริงเป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงเนื้อหาหรือ URL ที่แตกต่างกันแก่ผู้ใช้และ Search Engineโดยพื้นฐานแล้วเป็นการมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละรายการ
นี่เป็นความพยายามที่ชัดเจนว่าต้องการจัดอันดับหน้าตามเนื้อหาที่สร้างขึ้นสำหรับ Search Engineในขณะที่ชี้ผู้ใช้ให้ไปยังที่อื่นที่แตกต่างกัน นี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่หลอกลวง แถมยังเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ของ Search Engine อีกต่างหาก
อยากให้ลองมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการออกแบบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้กันมากกว่า แถม Search Engine ยังดูจะชอบแบบนี้มากกว่าด้วย
รูปแบบลิงก์เป็นหนึ่งในประเภท Blackhat SEO ที่พบได้บ่อยที่สุด และนี่คือส่วนที่มักเกิดความสับสนมากมาย
เป็นเรื่องปกติสำหรับนักการตลาดหลายคนที่คุณควรเขียนเนื้อหาที่เหมาะกับผู้ใช้ของคุณและคุณไม่ควรซ่อนข้อความ แต่การสร้างลิงก์จะซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
ข้างล่างนี้คือ ลิงก์ที่ดูเหมือนว่าจะถูกซื้อมาหรือมีการพยายามสร้างลิงก์ขึ้นมาเพื่อจะได้รับความน่าเชื่อถือหรือคะแนนอำนาจจาก Searc Engine ซึ่งก็หมายความว่าคุณควรหลีกเลี่ยงกลวิธีแบบนี้ด้วย มีดังนี้:
แม้ว่า Structured Data จะช่วยกำหนดเอนทิตี การกระทำ และความสัมพันธ์ทางออนไลน์ได้ แต่กลยุทธ์ทั่วไปของ Blackhat คือการใช้มาร์กอัปประเภทนี้ในทางที่ผิด
ซึ่งมักจะหมายถึงการใช้ Structured Data เพื่อให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เช่น ผู้ที่พยายามสร้างข้อมูลที่มีโครงสร้างที่เป็นประโยชน์แก่สำหรับเว็บไซต์ของตัวเอง ตัวอย่างชัด ๆ เช่น นักการตลาดหลายคนเขียนรีวิวปลอมที่ให้คะแนน 5 ดาวเพื่อเพิ่มตำแหน่ง SERP ของธุรกิจและเพลิดเพลินกับ CTR ที่สูงขึ้น
เช่นเดียวกับกลยุทธ์อื่น ๆ ในรายการนี้ นี่เป็นการหลอกลวงอย่างแท้จริงและไม่ใช่กลยุทธ์ที่คุณควรทำอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าที่คุณกำลังอัปเดตเป็น URL ใหม่หรือกำลังเตรียมการย้ายเว็บไซต์ การเปลี่ยนเส้นทางถือเป็นส่วนสำคัญของ SEO มันไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่บางครั้งมันเป็นวิธีการสร้างความมั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดระเบียบอย่างดีและเข้าถึงได้ง่ายโดยผู้ใช้และโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของ
Search Engine
แต่อีกมุมหนึ่ง ก็พบว่ามีบางส่วนคล้ายกับการปิดบังหน้าเว็บจริง เพราะการเปลี่ยนเส้นทางแบบลับ ๆ ถูกใ้ช้โดย Blackhat SEO เพื่อหลอกลวง Search Engine และแสดงเนื้อหาที่แตกต่างจากที่ผู้ใช้เห็น บ่อยครั้งที่ Search Engine จะทำดัชนีหน้าเดิม ในขณะที่ผู้ใช้ถูกนำไปที่ URL ปลายทางใหม่แล้ว หลักเกณฑ์สำหรับผู้ดูแลเว็บของ Google ระบุว่าการเปลี่ยนเส้นทางที่แอบแฝงเป็นกลวิธีของ Blackhat ที่กำลังละเมิดหลักเกณฑ์
คงจะผิดที่จะสันนิษฐานว่ากลยุทธ์ Blackhat SEO ทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่เว็บไซต์ของตัวเองเพื่อพยายามจัดอันดับแทน Search Engine
SEO ที่ผิดจรรยาบรรณบางรายใช้ SEO เชิงลบเพื่อพยายามลดอันดับของคู่แข่ง ให้ Search Engine คิดว่าคู่แข่งหรือเว็บไซต์อื่นกำลังใช้กลยุทธ์ที่ละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google แทนที่ให้เชื่อจะเป็นของคุณเอง
ที่เจอบ่อย ๆ ก็จะเป็นการชี้ลิงก์ที่ผิดธรรมชาติจำนวนมากไปยังโดเมนของผู้อื่นโดยหวังว่าจะถูกลงโทษเพราะเหตุดังกล่าว
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Google เริ่มจะเพิกเฉยต่อลิงก์ที่มาจากการโจมตีแบบนี้ แต่ประเด็นสำคัญคือ ต้องระวังสิ่งนี้และหมั่นวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ของคุณเป็นประจำ เผื่อว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีมาแอบโจมตีคุณ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเกิดคำถามว่า แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเห็นคู่แข่งใช้กลยุทธ์ Blackhat และไม่ได้ถูกลงโทษ?
ถ้าเป็นแบนี้คุณสามารถยื่นรายงานสแปมกับ Google ได้เลย เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่าเว็บไซต์นั้น ๆ ได้รับการจัดอันดับเพราะซื้อลิงก์ มีสแปม หรือกำลังละเมิดข้ออื่น ๆ แม้ว่าการรายงานเว็บไซต์จะไม่ส่งผลให้มีการดำเนินการโดยตรง แต่ก็ถือว่าคุณกำลังช่วยปรับปรุงการตรวจจับสแปมของอัลกอริทึมไปแบบอ้อม ๆ
ในฐานะนักการตลาด มักจะรู้สึกท้อแท้เมื่อพบว่าเว็บไซต์กำลังโกงระบบและหยังลอยนวล แม้ว่าในที่สุด Google จะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ในการป้องกันเว็บไซต์พวกนี้จากการจัดอันดับในตำแหน่งสูงสุดใน SERPs แต่ก็ยังมีเว็บไซต์ที่ทำงานได้ดีโดยใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์ blackhat นี้อยู่อีกมาก
แต่ก็จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเว็บสแปมที่เว็บไซต์พวกนั้นใช้อยู่ แต่ให้ชื้นใจเอาไว้ว่าอีกไม่นานสแปมเหล่านั้นก็จะได้รับผลกระทบในทางลบหลังจากการอัปเดตอัลกอริทึมอย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือกลยุทธ์ Blackhat SEO ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริงต่อทุกเว็บไซต์ ที่ใช้กลยุทธ์เหล่านี้เป็นช่องทางในการจัดอันดับบน SERP
และแม้ว่าจะไม่ได้ใกล้เคียงกับที่ใช้กันโดยทั่วไป แต่ก็ยังมี SEO ที่ดำเนินการตามเส้นทางนี้หรือทำให้ธุรกิจเชื่อว่ามีการทำการตลาดอย่างมีจริยธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เทคนิคที่ใช้นั้นละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google อย่างชัดเจน
สรุปแล้ว เราขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงกลยุทธ์ Blackhat ในเว็บไซต์ของคุณเอง หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏทางออนไลน์มากขึ้น อย่าลืมเรียนรู้วิธีจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณโดยใช้เทคนิคที่ไม่ละเมิดหลักเกณฑ์ผู้ดูแลเว็บของ Google จะดีกว่ากันเยอะเลย…
Performance Marketing